เสียงเพลงในสายลมร้อนของ Violette Wautier

ท้าทายไอแดดร้อนแรงอย่างมีสไตล์ไปกับวี-วิโอเลต วอเทียร์ ในลุคแฟชั่นหรูหราแสนผ่อนคลายจากคอลเลกชั่น ÉTÉ CELINE ที่ได้แรงบันดาลใจจากมนตร์เสน่ห์ของเฟรนช์ริเวียร่าและแซงต์โทรเปซ์ โดดเด่นด้วยงานถักโครเชต์และการปักประดับผ่านงานคราฟต์แมนชิป สะท้อนจิตวิญญาณแห่งฤดูร้อนตามแบบฉบับสาวปารีเซียน
เมื่อพูดถึงวี-วิโอเลต วอเทียร์ คนมักจะนึกถึงหญิงสาวที่มีความมั่นใจและสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ทั้งเสียงร้อง ดนตรี การแสดงออก ไปจนถึงการแต่งตัว ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้วีใช้คำว่า “เรียล” ความซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่เธอเป็น คิด และรู้สึกแสดงออกชัดผ่านผลงานในฐานะศิลปิน แม้แต่ในงานแสดงที่เธอต้องสวมบทบาทเป็นตัวละครหนึ่งที่ไม่ใช่เธอเลย เธอก็ยังใช้คำว่า “จริงใจกับมัน” และเราสัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้ผ่านการพูดคุยกับเธอในวันนี้ เธอไม่อายที่จะเผยความผิดพลาด ความเปราะบาง และความสงสัยในตัวเองออกมา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของความเป็นมนุษย์ นั่นทำให้เราได้เห็นว่าในความมั่นใจเธอก็มีความลังเลใจ ในความสำเร็จมันก็มีความผิดพลาด ในความรักต่อสิ่งที่เธอทำ ก็มีช่วงเวลาที่ท้อจนอยากจะเลิก และในช่วงเวลาที่อยากเลิกเธอก็มีวิธีดึงตัวเองกลับมา และทั้งหมดนี้ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวตนของวีในวันนี้
วีมีสไตล์การร้องเพลงที่ชัดเจน ซึ่งเราพอจะสัมผัสได้ตั้งแต่การประกวด The Voice และสไตล์การทำเพลงของวีก็มีเอกลักษณ์ วีค้นพบสไตล์นี้ตั้งแต่เมื่อไร
“เหมือนมันค้นไปเรื่อยๆ และก็พบบ้างไม่พบบ้างไปเรื่อยๆ นะ ตั้งแต่สมัย The Voice เราพอรู้ว่าเราชอบอะไรไม่ชอบอะไรแถวๆ ไหน แล้วเราก็หาเราในเวอร์ชั่นตอนนั้น ซึ่งพอกลับมาฟังปุ๊บ ก็ได้เห็นว่าแต่ละช่วงวัยของเรา ดนตรีก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปตามวัยเราประมาณหนึ่ง วีว่ามันก็อารมณ์เดียวกับที่นิสัยเราเปลี่ยนตามอายุ แต่ท้ายที่สุด พอความชอบบางอย่างที่มันเป็นแก่นมากๆ ไม่ได้เปลี่ยนเยอะ ก็เลยเหมือนแค่เปลี่ยนกระดาษห่อไปเรื่อยๆ แต่ของข้างในยังเป็นชิ้นเดิมอยู่”
พอจะอธิบายแก่นนั้นได้ไหมว่าคืออะไร
“วีว่ามันคือตัวตนและนิสัย และอะไรที่ทำให้ตัวเรากลายเป็นเราแบบนี้ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งด้วยนะ ไม่ใช่แค่ในเชิงเพลง เสียงของเราก็ส่วนหนึ่ง แต่วีว่ามันคือความรู้สึกนึกคิดและนิสัยใจคอของเราที่หล่อหลอมเราให้เป็นคน คนหนึ่ง มันเลยทำให้เราเล่าผ่านเพลงเราออกมาแบบนั้น มันคือตัวตนแหละ ถ้าคนนึกถึงวี วีว่าเขาจะนึกถึงความจริงมากๆ เป็นคนที่เรียล ซึ่งวีก็ทำแบบนั้นมาตลอด เพราะวีก็เป็นคนที่แสดงออกชัดเจน และผ่านทางเพลงด้วย”
วีเคยบอกว่าเลือกทำเพลงแบบที่ชอบมากกว่าที่จะต้องพยายามทำให้แมสแล้วตัวเองไม่ชอบ แต่เคยมีบ้างไหมที่ทำเพลงโดยตั้งธงว่าอยากให้แมส
“มีค่ะ แต่ไม่ขนาดนั้นเสียทีเดียวนะ ไม่ใช่ว่าให้แมสโดยทิ้งจิตวิญญาณ มันยังมีความดื้อของเราอยู่ ยังต้องเป็นเรานะ แต่ฉันตั้งใจทำให้แมส แล้วสุดท้ายมันก็ไม่เวิร์ก เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่เพลงที่ไม่ดี เรายังภูมิใจอยู่ แต่กลายเป็นว่าเราพยายามเดาใจคนอื่นว่าเขาจะต้องชอบแบบนี้แน่เลย ท้ายที่สุดเราก็ไม่รู้จริงว่าใครจะชอบไม่ชอบอะไร มันก็เดาไปเรื่อย และมันก็ไม่ได้เวิร์กจริงๆ วีว่าคนดูก็สัมผัสได้ว่านี่เธอประนีประนอมตัวตนเธออยู่นี่ ตอนนี้เลยกลับมาทำเพลงแบบ งั้นฉันไม่ประนีประนอม ถ้าเธอจะชอบก็ชอบ (หัวเราะ) เพราะว่าอย่างน้อยเขาจะเห็นตัวตนเราจริงๆ แล้วเราจะไม่เฮิร์ตมากด้วย กับการที่เรายอมหั่นบางอย่างลง แต่กลายเป็นพอหั่นไปแล้วมันไม่เวิร์กอยู่ดี สู้ไม่หั่นเลยแล้วไม่เวิร์ก แต่พอจุดยืนไม่ชัดแล้วยังไม่สำเร็จอีก มันก็เฟลนิด”
วีเคยบอกว่าอัลบั้ม Your Girl เป็นอัลบั้มที่คิดถี่ถ้วนมาก แล้วในอัลบั้มล่าสุดอย่าง Call Me Dramatic วีทำงานแบบเดียวกับตอนทำอัลบั้มนั้นมั้ย
“ไม่เลย อัลบั้มนี้เหมือนตั้งชื่อเป็นเคล็ด เอาจริงๆ วีว่าวีไม่ถี่ถ้วนกับอัลบั้มนี้ วีคิดเยอะมากๆ แล้วกลายเป็นคิดเยอะไป แล้วไม่ใช่คิดเยอะแบบตกตะกอนอย่างใน Your Girl มันเป็นการคิดเยอะแบบคิดไปเอง คิดเดาตรงโน้นตรงนี้หลายอย่าง เหมือนในตอนนั้นไทม์ไลน์มันบีบๆ นิดหน่อย เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่ากดดันในการทำอัลบั้มขนาดนี้ ปกติจะไม่กดดันมาก จะกดดันแค่โค้งสุดท้ายสักเดือนหนึ่งตอนช่วงต้องปิดอัลบั้ม แล้วอะไรที่ไม่เสร็จมันแค่ต้องตัดออก แต่อัลบั้มนี้ไม่รู้ทำไมกดดันตั้งแต่เริ่มจนจบเลย แล้วมันค้างอยู่กับเราหลายเดือนพอสมควร ก็เลยรู้แล้วว่าทำงานแบบนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับเรา ถึงบอกว่ามันยังค้นหาไปเรื่อยๆ ไม่มีคำตอบที่แน่ชัด และท้ายที่สุด มันก็สะท้อนตัวตนเราหลายๆ อย่างแหละ จริงๆ วีว่า Call Me Dramatic มันไม่ตกตะกอน มันคือห้วงอารมณ์มากๆ เพราะมันคือดรามาติก เราไม่มานั่งตกตะกอนว่าอารมณ์นี้คืออะไร เราสาดออกไปด้วยอารมณ์อย่างเดียว และธีมของเรามันจะต้องมีความ Cinematic ประกอบ มีความเป็นหนังอยู่ เราก็สอดแทรกความเป็นหนังเข้าไปในเนื้อเพลง เพลงนี้สำหรับเราเป็น genre ไหน มันก็จะซ่อนๆ อยู่ในเพลงตลอด และใน EP นี้เมสเสจคือรู้สึกอะไรก็รู้สึกไปเถอะ วีว่าการซื่อสัตย์กับอารมณ์ตัวเองมันสำคัญ และมันไม่ผิดที่จะแสดงความ happy ความ negative ความ insecure ออกมา มันแสดงออกมาได้หมด”
นอกจากสไตล์ที่ชัดเจนและเพลงฮิตติดหู วียังเป็นหนึ่งใน 4 Queens แห่งทีป็อป รู้สึกอย่างไรเวลามีคนพูดว่าเราเป็นศิลปินหญิงเดี่ยวตัวท็อปของไทย
“อยากจะไหว้ย่อขอบคุณ (หัวเราะ) เพราะจริงๆ เราก็เชื่อนะ เราทำมา สู้มา สร้างมา เราใช้พลังกายพลังใจ พลังเหงื่อ พลังน้ำตา เลือดเนื้อไปเยอะมากกับการจะมายืนอยู่ตรงนี้ เรารู้สึกว่าเรา well-deserved กับการที่คนจะเรียกแบบนั้น แต่ในขณะเดียวกันบางครั้งเราก็ต่อต้านความคิดนี้เหมือนกัน บางโมเมนต์เราก็ จริงเหรอ เราไม่ได้เก่งขนาดนั้น คือโมเมนต์ที่เรามั่นใจมาก เราก็จะแบบเออ จริง ฉันเลิศ ฉันอยู่ตรงนี้จริง แต่ก็มีบางโมเมนต์อยู่แล้วที่มันท้อ แบบว่า ฉันเป็นควีนกำมะลอหรือเปล่า มันก็จะมีบางโมเมนต์ที่อ่อนไหวแบบนั้น ซึ่งใครก็ตามที่มองเราแบบนั้น (เป็นตัวท็อป) เราจะรู้สึกขอบคุณ รู้สึกเป็นเกียรติมากๆ ที่เขามองเราอยู่ในจุดนั้น เพราะมันให้กำลังใจเราเยอะมาก”
เวลาไปเล่นคอนเสิร์ต พลังจากคนดูมีผลต่อเรามากไหม
“มันรู้สึกเยอะมาก เพราะเอาจริงๆ บางทีการที่เรามานั่งคิดเยอะตอนทำเพลง แล้วบางครั้งมันท้อ ปีหนึ่งมันคิดสักประมาณสิบรอบว่าฉันคงไม่ได้เป็นนักร้องแล้วแหละ ฉันเลิกทำเพลงดีกว่า แต่ใจเราก็รักสิ่งนี้จริงๆ แล้วทุกครั้งที่เราเล่นคอนเสิร์ตแล้วเราได้รับสิ่งนั้น เรารู้สึกเมกเซนส์ว่าทำไมเรายังอยู่ตรงนี้ เรารักดนตรี เรารักการแสดงคอนเสิร์ตขนาดไหน เรารักการร้องเพลงขนาดไหน แล้วเรารู้สึกว่าเพลงเรามีค่าขนาดไหนเวลามันสามารถเข้าไปอยู่ในใจหลายๆ คน เวลาคนเดินเข้ามาบอกเราว่า พี่ เพลง ‘อย่าใจร้ายกับตัวเอง’ ทำให้หนูหายเป็นซึมเศร้า ทำให้หนูอย่างนู้นอย่างนี้ มันมีค่ากับเรามากเลย”
ในขณะที่เพลงสามารถพาคนฟังให้ผ่านช่วงเวลาย่ำแย่ในชีวิต แล้วในฐานะคนทำเพลงมีผลงานไหนของตัวเองที่ช่วยให้ผ่านช่วงเวลายากๆ ไปได้บ้าง
“มีค่ะ หลายเพลงเลย เอาจริงๆ วีว่าหลายๆ เพลงที่ไปฮีลหลายๆ คนมัน เริ่มจากที่วีฮีลตัวเองก่อน เหมือนมันเป็นวัฏจักรชีวิตนิดหนึ่งเหมือนกัน เมื่อมีโมเมนต์ที่เรามีความสุขมากๆ ปุ๊บ มันก็จะเจอเรื่องที่ทำให้เราตกต่ำ แล้วเราก็ต้องล้มลุกคลุกคลานหาวิธีลุกขึ้นมาใหม่ และเพลงคือหนึ่งสิ่งที่ช่วยให้วีเรียบเรียงความคิด เรียบเรียงความรู้สึกตัวเอง เหมือนได้เป็นจุดปลดปล่อยออกมา เหมือนอ้วกออกมาทีหนึ่งแล้วมันก็โล่ง (หัวเราะ) พูดแบบแย่ๆ เลย แต่มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ แล้ววีรู้สึกว่าหลายๆ คนที่ได้รับเพลงนี้เข้าไป เขาก็คงผ่านอะไรใกล้ๆ กับวีอยู่ มันเลยทำให้เราเข้าใจกัน”
วีเคยพูดว่าบทเรียนสำคัญในชีวิตคือให้เลือกทำในสิ่งที่ชอบจริงๆ ไม่งั้นจะทรมาน แต่ในอีกทางหนึ่งก็มีคนพูดว่าพอเอาสิ่งที่ชอบมาเป็นงาน ความสุขหรือความสนุกมันจางลงไป วีเคยอยู่ในจุดที่สนุกกับการร้องเพลงน้อยลงไหม
“มีเหมือนกันค่ะ บางครั้งเวลาเรามีเป้าหมายตลอด เราจะไปโฟกัสอย่างอื่น เราชอบการร้องเพลงแหละ แต่พอมีสิ่งอื่นมาห่อมันมากกว่านั้นอีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จในเชิงยอดวิว ตัวเลข เรื่องเงิน เรื่องการลงทุนอะไรอย่างนี้ บางครั้งเราก็ลืมสิ่งนี้ไป แล้วเราก็ไปเครียดกับสิ่งเหล่านั้น จนบางครั้งมันก็มากระทบ ทำให้เราไม่ค่อยอยากทำบ้าง หรืองอแงบ้าง แต่หลายๆ ครั้งวีสามารถกลับไปเรียกสิ่งนี้คืนมาได้ด้วยการเข้าไปดูตัวเองร้องเพลงที่ The Voice เทปออดิชั่นแรก พอไปดูแล้วเราก็จะเห็นว่าเด็กผู้หญิงคนนี้มันมาแบบไม่คิดอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย ไม่ต้องการอะไรเลย มันก็แค่อยากร้องเพลง เลยทำให้เราจำได้ว่าที่เราเริ่มคือแค่นั้น แค่เรารักมัน แล้วมันก็เป็นการเตือนตัวเองทุกครั้ง การที่เราได้เห็นตัวเองในรายการ The Voice มันเหมือนการสานฝันเด็กคนนั้นอยู่”
วางแผนเส้นทางอาชีพการเป็นศิลปินไว้อย่างไรบ้าง
“คิดว่าจะร้องเพลงไปเรื่อยๆ นะ บียอนเซ่ก็ยังประกาศว่าตัวเองท้องบนเวที มีลูกแฝดก็ยังร้องอยู่ เราก็น่าจะทำได้นะ (หัวเราะ) แต่ถ้าถามว่าเป็นไปได้มั้ยที่จะไปทำอะไรที่มันเป็นเบื้องหลังมากขึ้น ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ แต่ ณ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน เพราะรู้สึกว่าเรายังทำได้เรื่อยๆ อยู่ วีว่าความโชคดีของการเป็นนักร้องคือมันร้องได้ตลอดชีวิต วันหนึ่งเราก็จะเป็น product of nostalgia เป็นสิ่งที่ทำให้คนคิดถึงยุคหนึ่ง แล้ววีว่ามันก็กลับมาได้เรื่อยๆ เราอาจจะไม่ใช่คนที่อินเทรนด์ที่สุด เพราะเราต้องแก่ขึ้น แต่ท้ายที่สุดเราก็ยังร้องเพลงได้ แบบดูดิ ทุกวันนี้พี่มาช่า พี่ติ๊นา เขาก็ยังร้องเพลงอยู่ตลอด เราก็เลยเชื่อว่าเราน่าจะยังร้องเพลงต่อไปได้เรื่อยๆ แล้วพอเราหันไปดูศิลปินต่างประเทศ มารายห์ แครี ยังปล่อยเพลงอยู่เลย แล้วทำไมเราจะไม่ปล่อย ถ้ายังมีอะไรที่เราจะพูด เราก็ยังปล่อยได้ คนฟังก็คงโตไปกับเรา หรือถ้าจะมีเด็กเข้ามาใหม่เราก็ไม่เกี่ยง ดนตรีมันก็คงโตไปกับเรา ถ้ามันมีแต่เพลงวัยรุ่นต่อไปเรื่อยๆ แล้วใครจะทำเพลงให้คนรุ่นเราฟังในอนาคตตอนแก่ๆ คนหกสิบจะอินอะไร รักเธอจัง จุ๊บุ (หัวเราะ) มันก็เอ๊ะ ยังไงดี มันก็ต้องมีคนที่โตไปแล้วทำเพลงให้กับคนวัยนั้นอยู่หรือเปล่า ก็เลยเชื่อว่าดนตรีมันน่าจะอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ”
วียังเป็นนักแสดงที่มีผลงานต่อเนื่อง อะไรในงานแสดงที่ชอบมากที่สุด
“ชอบที่ได้ปล่อยสมองไหลๆ แล้วได้รู้สึกไปเรื่อยๆ ตอนเริ่มต้นมันใช้สมองเยอะมากในการทำความเข้าใจตัวละคร แต่ตอนหลังมันเลิกใช้สมองแล้วไปใช้ความรู้สึกเอาตรงหน้าว่าเรารู้สึกอะไรมากกว่ากัน ตอนนั้นมันคือแมจิก เขาจะส่งอะไรมา ประโยคนี้ของเขามันจะทำให้เรารู้สึกยังไง คือเราก็รู้ว่ามันต้องรู้สึกอะไรแถวๆ ไหน แต่บางครั้งมันมีอะไรใหม่ๆ ที่เราเจอหน้าฉากบ่อยมาก อย่างความรู้สึกที่เราเจอแล้วแบบ เห้ย จริงๆ เรารู้สึกแบบนี้ มันไม่ตรงกับการบ้านที่เราทำไว้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เราก็ต้องเลือกเชื่อสัญชาตญาณ แล้วไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เอาจริงๆ มันเป็นการบำบัดเบาๆ กับการได้รู้สึกสิ่งเหล่านั้น เพราะว่าในชีวิตจริง เราก็คงไม่อยากมานั่งร้องไห้เป็นบ้าเป็นบอ ถ้าเราทุกข์ใจเราก็ทุกข์ใจด้วยบทนี้ แบบเราได้สัมผัสความรู้สึกนี้แล้ว โดยที่เราไม่ต้องสัมผัสมันในชีวิตจริงก็ได้”
การแสดงกับการร้องเพลงเหมือนและต่างกันอย่างไรสำหรับวี
“ในเชิงโครงสร้างเลยนะที่ต่าง ในงานดนตรี เรามีความเป็นบอสนิดหนึ่ง เป็นหัวหน้าทัพ เราเป็นคนที่สร้างมันออกไป เราไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่ง เราเป็นส่วนทั้งหมดของมัน แต่การแสดงเราเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่มีผู้กำกับมาสร้างสิ่งนี้ แล้วเราช่วยเขาสื่อสารให้ออกมาเป็นภาพอย่างที่เขาอยากได้ ส่วนสิ่งที่เหมือนกันสำหรับวีคือ แค่จริงใจกับมัน การแสดงก็ต้องการความจริงใจ ดนตรีของเราก็ต้องการความจริงใจของเราเหมือนกัน คือใช้หัวใจรู้สึกไปเลย”
นอกจากงานเพลงและงานแสดง เราเห็นวีผ่านงานแฟชั่นบ่อยๆ ด้วย และวีก็ดูสนุกกับการแต่งตัว วีจะอธิบายสไตล์ของตัวเองว่าเป็นแบบไหน
“สไตล์ตามใจฉัน แต่วีว่ามันจะมีความติดเท่นิดๆ ติดซนนิดๆ จะไม่ค่อยชอบหวานไปเลย หรือเรียบหรูโดยที่ไม่มีคาแร็กเตอร์ของเราออกมา ที่สำคัญที่สุดคือเราใส่่เสื้อผ้า ไม่ใช่เสื้อผ้าห่อเราจนเราจม มันต้องมาด้วยกัน เขาจะต้องเห็นตัวตนเรา ไม่ใช่เห็นเสื้อผ้าเราแล้วรู้สึกว่ามันไม่สมกัน”
ใส่แฟชั่นลงไปในงานเพลงหรือการเป็นศิลปินเยอะไหม
“เยอะมาก (เน้นเสียง) มีตั้งแต่น้อยไปจนถึงมหาศาล ทรงผมไปหลายทางมาก หน้าก็หลายแบบ ชุดก็หลายแบบ พอเราอยู่มาตั้งสิบปีกับตรงนี้ มันก็เลยมีโอกาสได้ลองเยอะ แล้วเทรนด์แฟชั่นมันก็เปลี่ยน พอย้อนกลับไปดูบางอันเราก็ หืมมม…นิดหนึ่ง ก็กล้าหาญอยู่นะที่ทำสิ่งนี้ไป แต่เราก็รู้สึกว่าค่อนข้างแม่น ไม่ได้พลาดบ่อย พอกลับไปดูแฟชั่นบางอย่างปีสองปีมันก็เปลี่ยนไปแล้ว กลับไปดูบางเพลง เออ สิ่งนี้มันหายไปแล้ว แต่มองไปก็ยังชอบอยู่ มีบ้างที่ไม่ชอบแต่น้อย”
มีแฟชั่นไอคอนคนไหนที่วีชื่นชอบเป็นพิเศษไหม
“หลายคนมากเลย ถ้านึกเร็วๆ ก็คือ Cher นับไหม วีว่าเขา bold มากๆ มันเป็นตัวตนของเขาแหละที่แบบขวางทุกอย่าง ในโมเมนต์ที่ชายเป็นใหญ่ เขาก็คิดว่าทำไมฉันจะต้องพึ่งผู้ชาย มีบทสัมภาษณ์หนึ่งวีจำได้เลย เขาถามว่าทำไมเธอถึงเกลียดผู้ชาย เขาก็ตอบว่า ฉันไม่ได้เกลียดผู้ชาย ฉันชอบผู้ชายมาก ผู้ชายเป็นเหมือนของหวาน แต่ฉันไม่ได้นี้ดเขาสักหน่อย เราชอบทัศนคติของเขาหลายอย่าง เป็นผู้หญิงที่ independent แล้วแฟชั่นบนเวทีของเขามันกล้าหาญ เขาเปิดหน้าเปิดหลัง ฉันจะเปิดอะไรฉันก็เปิด และลุคก็ไอคอนิกมาก”
วันนี้วีถ่ายแบบในชุด Celine และเราเห็นว่าวีก็หยิบ Celine มาใส่ในชีวิตประจำวันด้วย วีประทับใจอะไรในแบรนด์นี้
“วีว่า Celine เป็นแบรนด์ที่ใช้คำว่า everyday ได้ คือใส่ง่าย แต่ในเวลาเดียวกันก็มีคาแร็กเตอร์ที่เก๋ มีลูกเล่น คือไม่ได้ตะโกนว่า ‘แบรนด์เนม’ มีความเรียบแต่ก็ไม่เรียบ มันมีลูกเล่น ดีเทล และคาแร็กเตอร์ วีรู้สึกว่ามันดิ้นได้ตามคาแร็กเตอร์ของเรา เขาทำให้ชิ้นงานลงตัวจนมีทุกคาแร็กเตอร์ในชิ้นเดียว อย่างมีเดรสตัวหนึ่ง เป็นเดรสยาวสีขาวที่วีใส่วันนี้ วีรู้สึกว่าสามารถใส่ไปทะเลชิลล์ๆ ได้ แต่ในเวลาเดียวกันก็ ไม่จ้ะ ฉันก็เดินพรมได้นะ มันไปได้สองเส้นทาง จะชิลล์ก็ได้ จะแกลมหรูก็ยังได้ จะเมืองก็ได้ จะธรรมชาติก็ได้ ดีไซน์มันน่าประทับใจตรงนั้น”
ในคอลเลกชั่น ÉTÉ Celine วีชอบชิ้นไหนเป็นพิเศษบ้าง
“วีชอบกระเป๋าสานใบใหญ่รุ่น Cabas Triangle ต้องใช้คำว่าใบใหญ่ และเป็นใบที่สวยมาก หมายตาเลยค่ะ แล้วลุค วีชอบลุคเดรสขาวมาก”
พูดถึงหน้าร้อนวีนึกถึงอะไร
“ถ้านึกถึงหน้าร้อนไทยมันก็จะร้อนแดด แบบจะตาย แต่ถ้าหน้าร้อนในต่างประเทศ มันจะมีความแดดที่สวย ทอง ถ่ายรูปสวย ซึ่งเป็นหนึ่งในฤดูที่วีชอบมากๆ แม้แต่ที่ไทยด้วยนะ ทุกๆ ปีส่วนใหญ่ก็จะได้ไปดำน้ำ ไปทะเล เราก็จะรู้สึกว่าเป็นอีกเดือนหนึ่งที่เราชอบ เพราะเป็นเดือนที่เราได้ให้เวลากับตัวเอง”
View this post on Instagram
Photographer: Thanut Treamchanchuchai
Fashion Director: Daneenart Burakasikorn
Writer: Weeranart Chotipuntu
Makeup: Worawoot Watchanucha
Makeup using The Celine Beauté
‘Le Rouge Celine Lipstick Collection’
Hair: Banjaporn Kampab
Hair Assistant: Akkaratch Chalueytai
Photographer Assistants: Chudchpong Aumponrat,
Chayathat Nuchpum, Ratchaporn Muangsak
Stylist Assistant: Korawit Sattayapan
Co-Ordinator: Akeera Sasungnern
The post เสียงเพลงในสายลมร้อนของ Violette Wautier appeared first on L'Officiel Thailand.