ความรัก ความเปลี่ยนแปลง และอนาคตในฐานะนักแสดงของ ‘ฟรีน-เบ็คกี้’ สองนักแสดงสาวที่กำลังร้อนแรงฉุดไม่อยู่

ต้อนรับเทศกาลแห่งความรักเช่นนี้ Swarovski นำเสนอ คอลเลกชั่นสุดพิเศษโดยความร่วมมือกับนักร้องชื่อดัง Ariana Grande เพื่อพร้อมมอบให้กับคนพิเศษ ลอฟฟีเซียลชวนฟรีน – สโรชา จันทร์กิมฮะ และเบ็คกี้ – รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง สองนักแสดงสาวที่กำลังร้อนแรงฉุดไม่อยู่มานำเสนอคอลเลกชั่นสุดพิเศษสำหรับคนพิเศษ​ พร้อมพูดคุยกันเรื่องเครื่องประดับ ความเปลี่ยนแปลง และอนาคตในฐานะนักแสดงของทั้งคู่

ในมุมมองของคุณ เครื่องประดับเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้หรือไม่ เพราะอะไร

ฟรีน: “ฟรีนรู้สึกว่าเครื่องประดับทำให้ลุควันนั้นมันคอมพลีตมากขึ้นค่ะ มันทำให้เราดูสวยขึ้น จากที่เรามั่นใจอยู่แล้ว เครื่องประดับจะทำให้เราดูสวย สง่า และมั่นใจยิ่งกว่าเดิม เครื่องประดับเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้หญิงค่ะ”

เบ็คกี้: “สำคัญค่ะ เพราะมันทำให้เราเปลี่ยนลุคไปเลยในแต่ละวัน เครื่องประดับคือความมั่นใจของผู้หญิงเลยนะคะ มันคอมพลีตเครื่องแต่งกายได้จริงๆ และทำให้การแต่งตัวในแต่ละวันของเราไม่เหมือนกัน มันคือความสนุกของแฟชั่นอีกแบบหนึ่งเลยนะคะ”

ชอบอะไรในแบรนด์ Swarovski และมีชิ้นไหนที่ชอบเป็นพิเศษบ้างไหม

ฟรีน: “เป็นแบรนด์ที่ฟรีนใส่มาตั้งแต่เด็กๆ เลยนะคะ รู้สึกว่าถ้าจะนึกถึงเครื่องประดับ สวารอฟสกี้จะเป็นแบรนด์ที่ฟรีนนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ เลยค่ะ เพราะเข้าถึงง่าย ใส่ได้ในทุกวัน ส่วนชิ้นที่ฟรีนใส่ตลอดเวลาคือชิ้นที่เป็นเลข 8 หรือสัญลักษณ์ infinity ค่ะ เพราะมันตรงกับวันเกิด ตรงกับเดือนเกิดของฟรีนด้วยค่ะ”

เบ็คกี้: “ภาพในหัวที่จำได้ของสวารอฟสกี้คือหงส์สวยมากๆ ทำจากคริสตัลค่ะ แฟนๆ เคยให้ของขวัญเป็นคริสตัลรูปหมาเฟรนช์บูลด็อกของสวารอฟสกี้ นี่ไม่ได้เป็นแค่เครื่องประดับนะคะ แต่มีอะไรน่ารักๆ หลายๆ แบบมากๆ เลย ถ้าพูดจริงๆ คือชอบทั้งหมดเลยค่ะ แต่เซ็ตที่ถ่ายวันนี้ ที่ทำกับ Ariana Grande คือชอบสุดๆ รู้สึกว่าได้ใส่แล้วจะเป็นอาริอานน่าหรือเปล่าคะ อะไรอย่างนี้”

อยากรู้นิยามความรักในมุมมองของฟรีนและเบ็คกี้

เบ็คกี้: “ตอนเด็กๆ ตั้งสเปคไว้สูงมาก แต่พอโตขึ้น รู้สึกแค่ว่าขอคนที่เข้าใจเราจริงๆ มายด์เซ็ตและไลฟ์สไตล์ไปด้วยกันได้ ขอแค่คนที่พร้อมจะอยู่ข้างๆ กันและเรียนรู้ เติบโตไปด้วยกันค่ะ อยากได้แค่นั้น เพราะตอนนี้งานมันหนักมากอยู่แล้ว คนที่จะมาอยู่ตรงนี้จริงๆ ต้องเข้าใจเรามากๆ เลยค่ะ”

ฟรีน: “อย่างที่น้องบอกค่ะ พองานมันเยอะมาก เราก็ไม่ได้มีเวลามานั่งคิดว่าสเปคของเราคืออะไร ขอแค่คนที่ทำให้เราไม่เสียสุขภาพจิต ไม่ทำให้เราเหนื่อยกว่าเดิม อยากขอคนที่เขาใจ ช่วยซัพพอร์ต และอยู่ข้างๆ เรา เป็นกำลังใจให้เรา เติบโตไปด้วยกัน เรียนรู้ทุกอย่างไปด้วยกัน ประมาณนี้ค่ะ”

ของขวัญสุดเพอร์เฟ็กต์ที่จะมอบให้คนที่เรารัก

ฟรีน: “เวลาฟรีนเลือกของขวัญ จะเลือกอะไรก็ได้ที่ทำให้เขามีความสุข เลือกสิ่งที่เขาชอบ เขาสนใจอยู่ ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เงินซื้อได้ อาจจะเป็นของที่เราลงมือทำให้เอง ไม่จำเป็นต้องราคาสูงมากๆ แต่เราเห็นแล้วนึกถึงเขา ก็ซื้อให้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องมีวันสำคัญอะไรด้วยค่ะ อันนี้หมายถึงทุกๆ ความรักที่เกิดขึ้นนะคะ ทั้งเพื่อนและครอบครัว”

เบ็คกี้: “เราก็จะดูเหมือนกันค่ะว่าคนที่เราจะให้ชอบทำอะไร งานอดิเรกคืออะไร เรารู้สึกว่าเราจะค่อนข้างเลือกมากนิดหนึ่งเวลาจะซื้อของขวัญอะไรให้ใคร แต่ถ้ารู้ว่าเขาอยากได้อะไรคือซื้อให้เลยนะคะ ไม่ลังเลแน่นอน และก็อย่างที่พี่ฟรีนบอกค่ะว่าไม่จำเป็นต้องให้เฉพาะวันสำคัญ แต่ให้กันได้ตลอดเวลาที่นึกถึงกันเลยค่ะ”

เข้าปีที่สามแล้วหลังจาก Gap The Series ออกอากาศ ชีวิตของคุณเปลี่ยนไปเยอะขนาดไหน ได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง

ฟรีน: “พอมองกลับไปตอนที่เราเพิ่งเริ่มเติบโตในวงการ มาถึงตอนนี้ ฟรีนก็คิดว่าฟรีนยังเป็นตัวเล็กๆ ในวงการที่ต้องไปเจอประสบการณ์อีกเยอะมากๆ เลยค่ะ แต่ที่ผ่านมา เราเติบโตขึ้นทุกเรื่อง ต้องมีวินัย ต้องรับผิดชอบ ต้องรักษาสุขภาพ ทุกผลงานของฟรีนเบ็คกี้คือพวกเราตั้งใจ และเต็มที่ในทุกงานจริงๆ ค่ะ เราไม่อยากอยู่กับที่ แต่พร้อมจะเรียนรู้ และพัฒนาตัวเองตลอดเวลาในทุกๆ วันอยู่แล้วค่ะ”

เบ็คกี้: “ใช่ค่ะ เราผ่านอะไรมาเยอะมากจริงๆ ถึงตอนนี้เราจะยังเป็นตัวเล็กมากๆ แต่อาจจะมีประสบการณ์เพิ่มขึ้นมานิดนึงแล้วค่ะ ชีวิตที่ผ่านมาเหมือนรถไฟเหาะตีลังกาเลยค่ะ มันมีช่วงที่ขึ้นและลง ซึ่งเวลาลง มันลงแบบไม่รู้จะเอาขึ้นยังไง แต่เวลามันขึ้น มันก็ขึ้นจริงๆ เหมือนกันค่ะ เราได้ใช้เวลาเพื่อเรียนรู้ว่าชีวิตมันก็มีขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้แหละ แต่จะทำอย่างไรถึงจะกั้นเสียงรบกวนจากภายนอกที่เข้ามาในชีวิตเราเยอะๆ ได้ เพราะในที่สุดแล้วเราก็ต้องอยู่กับสิ่งนี้ให้ได้ค่ะ ตอนนี้ทั้งเบ็คและพี่ฟรีนก็โฟกัสเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิตอยู่ค่ะ”

คุณนิยามความสุขว่าอย่างไร

เบ็คกี้: “ถ้าวันนั้นเราทำงานเสร็จเหนื่อยๆ กลับบ้านไปเจอคุณแม่ และน้องหมารออยู่ มีคนพร้อมจะถามเราว่า ‘วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง’ ก็มีความสุขแล้วนะคะ อีกอย่างที่ทำให้มีความสุขคือการได้ดูผลงานของตัวเองค่ะ เราตั้งใจถ่ายมาก ตอนทำงานมันอาจจะเหนื่อยมากๆ แต่พอได้เห็นผลงานที่เราตั้งใจทำออกมาจริงๆ ก็รู้สึกว่ามันคุ้ม และมีความสุขมากค่ะ”

ฟรีน: “ความสุขของฟรีนเป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวในแต่ละวันที่ทำให้ฟรีนสบายใจค่ะ ฟรีนรู้สึกว่าความสุขเดี๋ยวนี้มันหายาก ก็อาศัยการเปลี่ยนโฟกัสเอาค่ะ ฟรีนชอบบอกตัวเองว่าอะไรที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอค่ะ อย่างที่เบ็คบอกว่าความสุขคือการกลับบ้านไปเจอหมา ของฟรีนแค่ได้เห็นคนรอบข้างมีความสุข ฟรีนก็มีความสุขค่ะ”

มองอนาคตในวงการบันเทิงของตัวเองไว้อย่างไร

ฟรีน: “เราเป็นคนไม่ตั้งเป้าหมายอะไรแบบนี้เลยค่ะ เรายินดีรับทุกโอกาสที่เกิดขึ้น ยินดีที่จะท้าทายตัวเองเรื่องใหม่ๆ ตลอดเวลา ไม่อยากตั้งเป้าหมายอะไรให้มันเยอะแยะ แค่พร้อมจะทำทุกอย่าง และเรียนรู้ไปทุกๆ วันก็พอแล้วค่ะ”

เบ็คกี้: “เราค่อนข้างตั้งความหวังไว้สูงมากๆ เลยค่ะ เราฝันอยากเป็นนักร้องตั้งแต่เด็ก พอได้มาเป็นนักแสดงจริงๆ ก็เหมือนยิ่งขุดความฝันนั้นขึ้นมาอีกครั้ง เราอยากอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ อยากทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ถึงจะไม่รู้ว่าจะไปได้ตรงไหนบ้าง แต่ถ้ามีโอกาสเข้ามา ก็พร้อมรับทั้งหมดนะคะ ตั้งเป้าหมายว่าอยากจะเล่นซีรีส์หรือหนังภาษาอังกฤษสักเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จตอนไหน ไม่รีบเลยค่ะ จะค่อยๆ พัฒนาทักษะของตัวเองไปเรื่อยๆ ค่ะ”

ถ้าเจอคนที่หมดกำลังใจ คุณจะให้กำลังใจเขาอย่างไร

เบ็คกี้: “เราจะเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูดในสถานการณ์นั้นค่ะ เราจะนั่งข้างๆ และบอกให้เขาระบายได้หมดเลย เราอาจจะพูดไม่เก่งขนาดนั้น แต่เราพร้อมจะอยู่ข้างๆ และให้กำลังใจค่ะ มันไม่เป็นไรหรอกค่ะที่จะมีวันที่แย่ เพราะทุกคนบนโลกใบนี้ก็มีวันที่แย่ๆ ทั้งนั้น เราไม่มีวันรู้เลยว่าคนคนนั้นกำลังเผชิญอะไรอยู่ภายใต้หน้าตาที่ดูมีความสุขมากๆ ค่ะ อยากจะบอกว่า โลกนี้มันโหดร้ายพอแล้ว ถ้าใจดีกับใครได้ ก็ใจดีเถอะค่ะ วันนี้ไม่ดีก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้อาจจะดีกว่านี้ก็ได้ค่ะ อย่าเพิ่งหมดกำลังใจนะคะ”

ฟรีน: “ถ้าวันนี้มันแย่มากๆ นะคะ เราจะบอกให้หายใจค่ะ หายใจเยอะๆ ปล่อยจิตใจให้โล่ง เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ค่ะ เราไม่ได้มีวันที่ดีได้อย่างเดียว แต่มีวันที่แย่ด้วย หายใจเพื่อรับรู้ว่าเรายังมีชีวิตอยู่ และเรามีชีวิตนี้ได้แค่ครั้งเดียว แค่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ หาทางแก้ปัญหาไป เราอยากอยู่ข้างๆ อยากให้เราทำอะไรเราก็ทำให้ได้นะ ไม่อยากให้ทุกคนกดดันตัวเอง หรือบอกว่า ‘รักตัวเองให้มากๆ นะ’ เพราะทุกคนมีวันที่เราไม่รักตัวเอง มันลืมไป แต่อยากบอกว่า คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ คุณยังมีเพื่อน มีครอบครัว ยังมีหมาที่เราให้อาหารอยู่ ยังมีคนที่เห็นคุณค่าของเราอยู่ คนคนนั้นอาจจะเป็นฟรีนก็ได้ อยากอยู่ข้างๆ เสมอค่ะ”

มีอะไรอยากบอกแฟนคลับไหม

ฟรีน: “อยากขอบคุณค่ะ ถ้าไม่มีทุกคนคอยซัพพอร์ตในทุกทางที่เราเดิน คงไม่มีฟรีนเบ็คกี้จนถึงตอนนี้จริงๆ พวกเรามีแรงทำผลงานทุกอย่างเพราะทุกคนจริงๆ ค่ะ เราเคารพและ appreciate ตรงนี้มากๆ บอกเลยว่าทุกการทำงานมันเหนื่อยสุดหัวใจจริงๆ ค่ะ แต่เราพยายามเต็มที่เพื่อให้ทุกคนได้รับในสิ่งที่คู่ควรกับการสนับสนุนที่ให้มานะคะ และอยากจะบอกว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นความทรงจำที่ดีต่อกันนะคะ”

เบ็คกี้: “ใช่เลยค่ะ ถ้าไม่มีทุกคน ก็ไม่มีเราในวันนี้ ทุกวันนี้ที่เราตั้งใจทำผลงานเพราะทุกคนรอซัพพอร์ตเรา เรารอฟังฟีดแบ็คจากทุกคนนะคะ อย่างที่พี่ฟรีนบอกว่าบางงานมันหนักมากจริงๆ แต่พวกเราตั้งใจทำเต็มที่จริงๆ ค่ะ เรารู้สึกว่าความรักที่ทุกคนมีให้มันยิ่งใหญ่มากเลยนะคะ แต่ก็อยากจะบอกอย่างหนึ่งว่า ทุกคนก็มีชีวิตเป็นของตัวเองเนอะ อยากให้การรักฟรีนเบ็คกี้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น และอยากให้ทุกคนได้ออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ไปทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงค่ะ บางคนอาจจะเติบโตไปกับเรา บางคนอาจจะหายไประหว่างทาง ถ้าใครจะอยู่ด้วยกัน เราพร้อมโอบกอดเสมอ แต่ถ้าใครจะไม่อยู่ด้วยกัน เราก็พร้อมจะเข้าใจค่ะ เรายินดีมากๆ กับทุกความรักที่ได้มาจริงๆ นะคะ”

แต่งหน้าสำหรับ Freen: Makeupb คนจรจัด

ผมสำหรับ freen: sittipong metha

แต่งหน้าสำหรับ Becky: Autsadaporn Wandee

ผมสำหรับ Becky: Wipaluk Kanda

ผู้ช่วยภาพถ่าย:

Chudchpong Amponrat, Suratham Thepphassut

ผู้ช่วยสไตลิสต์: Thanawat Nitithanaiyaphong

Prasangsanti Panjenenganti, Nortpamas Khomsom

การตั้งค่า: Thirawat Saetae

ผู้ประสานงาน: Siriket Jitsuphap

อ่านต่อบทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซิฟ

“คิดว่ามันโอเคนะที่ไม่เพอร์เฟกต์” เบคกี้-รีเบคก้า แพทริเซีย อาร์มสตรอง

“ชอบแฟชั่นตรงที่มันสื่อตัวตนได้” – แอลลี่-อชิรญา นิติพน

“ตอนนี้เราเป็นตัวเองแล้วก็เติบโตขึ้นจากเด็กน้อยในตอนนั้น” – ตู-ต้นตะวัน