“คิดว่ามันโอเคนะที่ไม่เพอร์เฟกต์” เบคกี้-รีเบคก้า แพทริเซีย อาร์มสตรอง – L’Officiel Thailand
ก้าวข้ามผ่านความสมบูรณ์แบบผ่านสไตล์ที่แตกต่างในแบบฉบับของนักแสดงสาวรุ่นใหม่ เบคกี้-รีเบคก้า แพทริเซีย อาร์มสตรอง ในลุคแฟชั่นล่าสุดจาก Coach คอลเลกชั่น Fall 2024 โดยได้แรงดลใจมาจากสีสันและความชีวิตชีวาของสาวนิวยอร์กเกอร์ ตีความผ่านงานออกแบบยุค ’70s จากอาร์ไคฟ์ ผสานดีไซน์เฟมินีนเข้ากับสไตล์มาดเท่แฝงความขบถได้อย่างลงตัว
เบคกี้ นักแสดงสาวลูกครึ่งไทย-อังกฤษ วัย 21 เป็นคนที่เต็มไปด้วยเอเนอร์จี้และพลังความสดใส ตลอดเวลาที่ถ่ายแบบกับเราในวันนี้ คุณแทบดูไม่รู้เลยว่าเธอเพิ่งบินกลับมาจากปารีสแฟชั่นวีกแบบสดๆ ร้อนๆ แล้วตรงมาที่กองถ่ายตั้งแต่เช้า “จริงๆ ก็จะตาปิดแล้วค่ะ แต่มีแอบนอนตอนกลางวันในห้องไปนิดนึงนะ” เธอเล่าด้วยรอยยิ้มหลังการถ่ายแฟชั่นคอลเลกชั่น Fall-Winter 2024 ของ Coach จบลง
รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรองมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากจากการแสดงเรื่อง Gap The Series ตามมาด้วยผลงานแสดงอีกหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงผลงานล่าสุดในปีนี้อย่างภาพยนตร์เรื่อง Uranus 2324 และซีรีส์พีเรียด ปิ่นภักดิ์ เบคกี้บอกว่าบทบาทเหล่านี้ช่วยให้เธอเติบโตในฐานะนักแสดง ซึ่งเป็นอาชีพที่เธอรัก “ปกติจะอ่านฟีดแบ็กตลอด ก็มีคนชมว่าแสดงดีขึ้น ภาษาไทยชัดขึ้น เล่นซีนดราม่าดีขึ้น คำพูดเหล่านี้ทำให้เรารู้ว่าเราเติบโตในฐานะนักแสดงจริงๆ จากการรับบทที่หลากหลาย และได้เจอนักแสดงใหม่ๆ ถ้าเราจะอยู่ในวงของเรา เราจะไม่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรามาก”
เรื่องเล่าของการเติบโต
“ช่วงที่รู้สึกว่าตัวเองเติบโตมากที่สุดคือตอนที่เข้าวงการบันเทิง เพราะความรับผิดชอบ ความคาดหวัง ความกดดันต่างพุ่งเข้ามาหาเรา เราต้องแบกสิ่งนั้นไว้ทุกวันตั้งแต่อายุ 17 และถึงแม้ตอนนี้เราอายุ 21 แต่รู้สึกว่าเราต้องโตกว่าอายุ เหมือนเราอายุ 30-40 ไปแล้ว เพราะการเข้าวงการเร็วทำให้ต้อง mature เร็ว ต้องเข้าใจโลกมากๆ เพราะเราเจออะไรที่ไม่เหมือนกันเลยในแต่ละวัน และปัญหาหลายๆ อย่างก็ต้องจัดการด้วยตัวเราเอง”
อะไรในตัวเองที่เปลี่ยนไปเยอะที่สุด
“แรกๆ เราจะมีความเด็กน้อยมากๆ เพราะตอนเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่ค่อนข้างทำสิ่งต่างๆ ให้และมีพี่เลี้ยง แต่พอไปเรียนเมืองนอกและได้เข้าวงการบันเทิง ทำให้เราต้องทำเอง ซึ่งมันดีนะ มันทำให้เรายืนอยู่บนขาของตัวเองได้ แม้ทุกวันนี้จะยังเป็นคนอินโทรเวิร์ต แต่สกิลเข้าสังคมก็ดีขึ้น พอโตขึ้นมันก็ทลายกำแพงตรงนี้ไปได้บ้าง อาจจะเพราะสถานการณ์หรืองานที่ทำให้เราต้องเข้าสังคม แต่สุดท้ายก็ยังต้องมารีชาร์จแบตเตอรี่ของตัวเองอยู่ดี”
ซึ่งสิ่งที่ทำเพื่อชาร์จแบตก็คือ…
“กลับบ้านไปอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง คุยกับครอบครัว หรือใครก็ได้ที่เรารู้สึกสบายใจ อาจจะคุยกับหมา หรือถ้าเวลาที่ต้องคิดอะไรหนักๆ ก็จะพูดกับตัวเองนะ แต่มุมนี้จะไม่ให้ใครเห็น มันเหมือนการพยายามวิเคราะห์อะไรบางอย่าง คือเวลาที่มันอยู่ในหัวอย่างเดียว ไม่เหมือนกับการได้ยินมันออกมา และบางวันก็ต้องให้กำลังใจตัวเอง ต้องพูดออกมา ‘you can do it มากกว่านี้ก็ผ่านมาแล้ว’ แค่นี้ก็ดีขึ้นแล้ว ถ้าใครอยากคุยกับตัวเองก็คุยนะ (หัวเราะ) หนูว่าไม่แปลก เพราะเรานี่แหละที่อยู่กับตัวเราเยอะที่สุด”
เรื่องที่ท้าทายจากการเข้าวงการแสดงตั้งแต่เด็ก
“อย่างแรกคือภาษา ซึ่งเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของเรา เมื่อได้บท ได้สตอรี่ไลน์ ก็ต้องเริ่มทำการบ้านจากศูนย์เลย ต้องเข้าใจให้ได้ ไม่ชอบมีข้ออ้างที่ว่าเราเป็นลูกครึ่ง ทำให้ต้อง work hard มากๆ ซึ่งตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ใช้ภาษาไทยเยอะขึ้นมากๆ แล้วอีกอย่างก็คือโซเชียลมีเดีย ซึ่งให้ทั้งพลังบวกและลบ ถึงจะขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะเลือกรับอะไร แต่โดยปกติสมองของมนุษย์เรามักรับสิ่งที่เป็นลบ เราเคยโดนทุกอย่างเลย คนวิจารณ์รูปร่างหน้าตา ไม่ได้พูดถึงผลงานเลย ซึ่งก็ต้องรับมันแหละ เพราะเราอยู่ในสปอตไลต์ เราต้องผ่านไปให้ได้ ก็แค่ต้องเมกชัวร์ว่าสุขภาพกายและใจของเรายังโอเค”
ถึงวันนี้จะเป็นนักแสดง แต่ความฝันที่อยากเป็นนักร้องยังอยู่กับเราไหม
“ยังอยู่ค่ะ ยังคงอยากเป็น ยังรักการร้องเพลงมากๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากมีคอนเสิร์ต ได้ร้องเพลงของตัวเอง ถ้าแฟนๆ มาดูคงภูมิใจ เพราะหลายคนติดตามเรามาตั้งแต่สมัยที่ไปประกวดร้องเพลงตามรายการต่างๆ ถึงเขาจะชอบที่เราแสดง แต่เขาก็น่าจะแฮปปี้ที่เราเป็นนักร้องด้วย เพราะมันสำคัญกับเรามากๆ”
ใครที่มีอิทธิพลต่อเบคกี้
“ถ้าเรื่องดนตรี ขอยกให้เป็นปู่กับเทย์เลอร์ สวิฟต์ เมื่อกี้ตอนถ่ายแบบก็เปิดเพลงเทย์เลอร์นะ ถือเป็นแรงใจเวลาเหนื่อย แต่ถ้าการเติบโตในเรื่องทั่วไปต้องให้เครดิตกับตัวเอง เพราะเป็นตัวเราที่อยู่กับตัวเองทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเศร้าหรือมีความสุข แม้ว่าในการตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ จะมีคนช่วยคิด แต่สุดท้ายคนที่ตัดสินใจก็คือเราเอง เลยคิดว่าต้องให้เครดิตตัวเองค่ะ”
บทเรียนที่ล้ำค่าในชีวิต
“เป็นตัวเอง ยืนบนขาของตัวเอง ความคิดคนอื่นไม่สำคัญ เพราะเรารู้จักตัวเองดีที่สุด อะไรที่ใช่สำหรับเราก็ทำเลย ถึงแม้คนอื่นจะพูดไม่ดีกับเรา ทำไมต้องแคร์ ทำเลย และจงภูมิใจ…แต่มันก็ใช้เวลานะถึงจะคิดแบบนี้ คือถ้าเป็น constructive criticism ยินดีรับฟังเสมอเลยค่ะ เพราะมันทำให้เราพัฒนาตัวเอง แต่อะไรที่แค่อยากให้เรารู้สึกไม่ดี ขอปัดทิ้งเลยค่ะ”
ความที่อยู่ในสปอตไลต์ กดดันไหมที่ต้องเพอร์เฟ็กต์
“ในช่วงแรกๆ กดดันตัวเองสุดๆ ต้องคิดว่าทำอย่างไรให้เพอร์เฟ็กต์ แล้วเราก็เป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ด้วย แต่พอโตขึ้นก็ทำให้รู้ว่าบางทีความไม่เพอร์เฟ็กต์ก็คือความเพอร์เฟ็กต์ มันหล่อหลอมความเป็นตัวเรา ถ้าทุกคนเพอร์เฟ็กต์เหมือนกันหมดเลย ก็ไม่มีใครแตกต่าง ก็ไม่มีเอกลักษณ์ เลยคิดว่ามันโอเคนะที่ไม่เพอร์เฟกต์”
แล้วเคยไม่ชอบอะไรในตัวเองบ้างไหม
“รู้ไหมว่าตอนเด็กๆ หนูไม่ชอบอะไร (ชี้ไปที่หน้าผาก) หน้ารูปหัวใจ (หัวเราะ) หนูรู้สึกว่าคนอื่นไม่มีใครหน้าแบบนี้เลย แต่คนอื่นจะชมเราตลอดเลยว่าสวยมาก เราก็จะแบบ จริงเหรอคะ พอโตขึ้นก็รู้สึกว่ามันสวยดีนะ เวลาถ่ายแฟชั่นจะเด่นมาก ยิ่งเวลาทำผมแปลกๆ รู้สึกว่ามันน่าสนใจและดึงดูดสายตา มันก็สวยในแบบของเรา แล้วตอนเด็กๆ เราก็ไม่ชอบที่ตาหยีเวลายิ้ม คือมันไม่เหมือนคนอื่น ตอนนั้นเราจะมีแต่คำถามว่าทำไมๆ ทำไมไม่เหมือนคนอื่น แต่พอโตขึ้นมาถึงเข้าใจว่ามันเป็นเสน่ห์ของเรานะ เป็นการยิ้มแบบที่มีความสุขจริงๆ กลายเป็นว่าเราไม่อยากเหมือนคนอื่นเลย อย่างเวลาออกงานหรือทำงานแฟชั่นจะไม่เคยอยากทำลุคซ้ำเลย หาลุคใหม่ตลอด เพราะไม่อยากซ้ำคนอื่น อยากแตกต่าง แล้วมันก็สนุกมากๆ”
ไหนๆ ก็พูดถึงแฟชั่น อยากรู้ว่าชื่นชอบแฟชั่นเพราะอะไร
“มันทั้ง empower และได้ express ตัวเอง อย่างเวลาถ่ายแฟชั่น หนูชอบมากเลย มันเหมือนเราได้เป็นเราอีกคนหนึ่งที่เราไม่ได้เป็นในทุกๆ วัน ได้ทำทรงผมหรือเมกอัพที่แปลกๆ เวลาไปออกอีเวนต์ก็คงไม่ได้ทำแบบนั้น แต่ในงานถ่ายแบบเราจะได้ express คาแร็กเตอร์ใหม่ๆ ซึ่งมีทั้งที่เข้ากับเราบ้าง หรือดูไม่เข้าบ้าง แต่มันเป็นการเรียนรู้อีกแบบนะ สนุกตรงนี้แหละ แล้วเราก็เป็นคนที่กล้าทดลอง เพราะมันเป็นพื้นที่ใหม่ เราก็เต็มที่ที่ได้ express ตรงนั้น”
ในชีวิตประจำวันล่ะ เราเอ็นจอยกับแฟชั่นอย่างไรบ้าง
“แล้วแต่ว่าไปไหน ถ้าออกไปกับเพื่อนๆ จะแต่งตัวนิดนึง เพราะชอบเดรสอัพ แต่ถ้าไปออกกองก็จะง่ายๆ เน้นสบายๆ สำหรับเบคคิดว่า แฟชั่นคืออะไรก็ได้ที่ใส่แล้วเราสบายและมั่นใจ ขึ้นอยู่กับวันและอารมณ์ อย่างตอนนี้ก็อินกับแว่น เพราะสายตาไม่ได้ดีขนาดนั้น ชอบหาทรงแว่นที่น่ารักๆ หลังๆ มานี้ทุกคนบอกว่าหนูเนิร์ดมาก”
แล้วการถ่ายแบบกับ Coach ในวันนี้ล่ะ
“สนุกมาก ได้ลองหลากหลายลุค ทั้งลุคที่มีความแสบซนๆ ลุคแบล็กเดรสกับพัฟเฟอร์ก็สวย สเว็ตเตอร์ลายเป็ดก็น่ารักมาก หรือลุคแจ๊กเก็ตกับกระโปรงสั้นสีดำก็เป็นลุคปกติประจำวันของเรา ชอบที่มีความเป็นนิวยอร์กเกอร์ อารมณ์เหมือนอยู่ในซับเวย์ รอขึ้นรถไฟ (หัวเราะ) ถึงเราจะเป็นบริติช แต่ก็มีความอเมริกันในตัวด้วยนะ อย่างสำเนียงอังกฤษก็ออกอเมริกันมากกว่า และเราเป็นนิวยอร์กเกอร์ได้นะ ลองจินตนาการว่าตัวเองมีอพาร์ตเมนต์ในบรู๊กลิน นั่งรถไฟหรือเดินไปทำงาน อาจจะทำงานในบริษัทกฎหมาย เป็นอีกไลฟ์สไตล์ที่ชอบนะ”
สิ่งที่กล้าที่สุดในชีวิตที่เคยผ่านหรือทำมา
“น่าจะเป็นการเข้าวงการนี่แหละ คือเราต้องตัดสินใจว่าเรียนต่อต่างประเทศหรือทำงานในวงการ เพราะตอนนั้นเส้นทางในวงการยังไม่ได้มีอะไรเลย ไม่มีใครรู้จัก ไปแคสติ้งปกติเลย แล้วภาษาไทยก็อ่อนมาก แต่เราก็เลือกทางนี้ เลือกตามฝันอีกอย่างของเรา ถ้ามองตอนนี้อาจจะไม่ใช่การติดสินใจที่ใหญ่อะไร แต่ตอนนั้นคิดทุกวัน คิดข้อดีข้อเสีย ทำออกมาเป็นลิสต์เลยก่อนจะตัดสินใจ…ตอนนั้นอายุ 17 แล้วเราเคยผ่านความผิดหวังมาแล้วจากการประกวดต่างๆ ถ้าไม่สำเร็จอีกครั้ง มันจะเสี่ยงไปไหม แต่คุณพ่อคุณแม่บอกว่ามันมีคำว่าสายไปถ้าจะเริ่มต้นทำอะไรบางอย่าง ตราบใดที่เราต้องการและพยายาม มันก็เป็นไปได้ เราเลยตัดสินใจได้ง่าย”
สิ่งที่อยากทำให้สำเร็จตอนนี้
“น่าจะ Birthday Concert ในเดือนธันวาคมค่ะ แพลนหนักมาก เรารับฟีดแบ็กของปีที่แล้วเพื่อมาพัฒนาในปีนี้ อย่างปีที่แล้วคนมาไม่ได้เพราะเป็นไฮซีซั่น เลยประกาศให้เร็วขึ้น และตั้งใจทำโชว์ให้ดีที่สุด ให้คุ้มค่ากับการที่ทุกคนพยายามมาหาเรา จะทำให้เต็มที่ค่ะ…”
แล้วเตรียมฉลองให้ตัวเองไหม
“ไม่เลยค่ะ เป็นคนไม่ได้ฉลองเท่าไร อาจจะซื้อชานมให้ตัวเองสักแก้ว (หัวเราะ) ไม่ค่อยซื้อของขวัญให้ตัวเองยกเว้นสิ่งที่ได้ใช้แน่นอน เพราะเราทำงานหนักมากๆ ก็อยากเก็บเงินไว้ใช้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด”
อะไรทำให้เรารู้สึกว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความหวัง
“ครอบครัวกับแฟนๆ ครอบครัวสำคัญกับเรามาก เป็นคนที่คอยสนับสนุนทุกอย่าง แล้วก็แฟนๆ บางคนอาจจะอยู่มานาน บางคนอาจจะมาใหม่ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันในทุกๆ วัน รู้สึกขอบคุณที่มีเขา และรู้สึกโชคดีที่ได้รู้จักกัน อยากให้เติบโตไปด้วยกันเรื่อยๆ เราจะผ่านทุกความสำเร็จด้วยกัน รวมถึงทุกอุปสรรคด้วย อยากบอกว่ารักนะคะ”
แล้วมีอะไรจะบอกกับคนที่ไม่กล้าฝันบ้างไหม
“dream big ไปเลย เพราะมันจะทำให้เรามี motivation ในการก้าวไป ออกจากคอมฟอร์ตโซน ละทิ้งความกังวล การเจออะไรที่ท้าทายหรือน่ากลัวทำให้เราเติบโต ถ้าพลาดก็เริ่มใหม่ได้ อย่างที่เราชอบพูดว่า วันหนึ่งอยากไปฮอลลีวูด คนมักจะมองว่าฝันใหญ่ไปนะ แต่สำหรับเรามันคือความพยายามที่จะก้าวไป ตอนนี้อาจยังไม่พร้อม แต่เราจะพัฒนาตัวเอง และวันหนึ่งมันอาจจะไปถึง เพราะฉะนั้น dream big”
ช่างภาพ : ธนัช ตรีจันทร์ชูชัย
บรรณาธิการแฟชั่น: วัชรชัย หนุนงาม
ผู้เขียน : พิมพ์พิไล บุญจง
แต่งหน้า : นุชตา สุขใจ
ทำผม : วิภาลักษณ์ กานดา
ผู้ช่วยช่างภาพ: ชัชพงศ์ อำพลรัตน์, สุรธรรม ทัพสุต
ผู้ช่วยสไตลิสต์: ปณิธาน ประสงค์สันติ
โปรดิวเซอร์: สิริเกศ จิตรสุภาพ
บทความอื่นที่น่าสนใจ:
Coach Spring/Summer 2025 ความสดใหม่ของสไตล์อเมริกันคลาสสิก
Coach เปิดตัวคอลเลกชั่น Winter 2024 นำไอเท็มเก่ามาตีความใหม่ให้เข้ากับปัจจุบัน
Right Nina รองเท้าแฟลตโทนสีใหม่จาก Camper ที่สาวๆ ต้องมี