ฉลองครบรอบร้อยปีในนิทรรศการ If You Know, You Know. Loro Piana’s Quest for Excellence

ชื่อของนิทรรศการนี้อาจจะดูมีความปริศนาเซนเล็กๆ แต่แท้จริงแล้วเป็นแคมเปญโฆษณาของแบรนด์ในยุคฟิฟตี้ส์ที่ถ้าคุณไม่รู้ก็จะทำความรู้จักกับ Loro Piana ได้จากนิทรรศการที่จัดขึ้นเนื่องในวาระครบรอบ 100 ปี พร้อมกับเป็นที่ระลึกถึงความผูกพันอันลึกซึ้ง และยาวนานกับประเทศจีน Loro Piana ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะผู่ตง (Museum of Art Pudong) ในมหานครเซี่ยงไฮ้ สรุปประวัติศาสตร์ความสำเร็จอันเป็นผลมาจาก “ภารกิจสู่ความเป็นเลิศ” ผ่านผลงานมรดกทรงเอกลักษณ์ในแต่ละยุคสมัยของทายาทสายตระกูลทั้งหกรุ่น
จากการรวบรวม และคัดกรองโดยจูดิธ คลาร์ก ผู้รับผิดชอบตำแหน่งภัณฑารักษ์นิทรรศการ ผลงานมรดกแต่ละชิ้นใน If You Know, You Know. Loro Piana’s Quest for Excellence ได้ร้อยเรียงเหตุการณ์ย้อนอดีต ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมายทรงคุณค่าต่อการจดจำ และยังเป็นตัวแทนความรู้สึกผูกพันระหว่างเมซงกับผู้เข้าชมนิทรรศการ เพื่อยกย่องความสำคัญของดินแดนแหล่งกำเนิดแพะสายพันธุ์หายากเจ้าของเส้นใยสำหรับแปรรูปเป็นสิ่งทอ “แคชเมียร์” อันเหนือชั้น Loro Piana จึงจัดนิทรรศการเขึ้นในประเทศจีน
ด้วยสถาปัตยกรรมการออกแบบ และตกแต่งภายในโดยบริษัทสถาปนิกชื่อดังแห่งปารีส Ateliers Jean Nouvel (อะเตอลิเอรส์ ฌอง นูเวล) หรือ AJN แห่งนี้ ตอบรับกับความปรารถนาของ Loro Piana ที่กำลังค้นหามิติใหม่ในการเล่าเรื่องราวขององค์กรบนครรลองพิพิธภัณฑ์วิทยาได้อย่างลงตัว เริ่มจากคอลเลกชั่นส่วนตัวของทั้งแซรโจ และลุยซา โลโร เปียนา ตลอดจนบรรดาเส้นใย และสิ่งทออันถือเป็นผลงานล้ำค่าระดับมรดกแผ่นดินซึ่งถูกจัดเก็บไว้ยัง Pinacoteca di Varallo (ปินาโกเตกา ดิ วารัลโล) ต่างได้รับการรวบรวมมาจัดกลุ่ม แบ่งประเภทและลำดับเวลาได้ถึง 33 ชุดโดยอาศัยแนวทางการออกแบบภาพมิติบ่งบอกถึงสัมพันธภาพระหว่างแหล่งกำเนิดกับวัตถุดิบ, ความเกี่ยวพันระหว่างภูมิประเทศกับเส้นใย
พื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตรของ 3 แกลเลอรี รองรับ 15 ห้องจัดแสดงผลงานเพื่อนำผู้ชมออกเดินทางไปกับ Loro Piana สู่ดินแดนแสนกว้างใหญ่ทั่วโลกผ่านการเชื่อมโยงวัสดุต่างเนื้อสัมผัส กับสรรพสีที่ล้วนผ่านการคัดเลือกอย่างพิถีพิถันให้สะท้อนถึงรกราก และดีเอ็นเอของเมซง จากพื้นประดับพรมเนื้อนุ่มสู่ผนังกรุแคชเฟอร์ (Cashfur) รวมถึงวัสดุธรรมชาติหลากชนิดอย่างไม้, หนัง, ทองเหลือง ตลอดจนหินปูพื้น “ซานเปียตรินิ” ต่างร่วมกันก่อบรรยากาศอบอุ่นผ่านโทนสีสดใส โดยเฉพาะสีเบจหลากเฉดละมุนตา
การเสาะหาวัตถุดิบคุณภาพสูงสุดจะถือเป็นบรรทัดฐานสำคัญใน “ภารกิจสู่ความเป็นเลิศของ Loro Piana” ที่มาของชื่อนิทรรศการ แล้วยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับงานออกแบบภูมิทัศน์จำลองของแดนไกลต่างเขตทวีปเพื่อเล่าขานถึงความโดดเด่นเป็นหนึ่งในแต่ละแหล่งผลิตวัตถุดิบล้ำค่าที่เมซงนำมาแปรรูป และพัฒนาขึ้นเป็นสิ่งทอ ตลอดจนเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายอันมีความพิเศษเหนือชั้น
เพื่อให้แต่ละพื้นที่จัดวางของนิทรรศการร่วมกันเล่าเรื่องราวอันมีรากฐานหยั่งลึกมาจากมรดกครอบครัวในหุบเขาวาลเซเซียแห่งแคว้นปิเอด์มองต์ จุดเริ่มต้นก่อตั้งบริษัทเมื่อปีค.ศ. 1924 ภัณฑารักษ์จูดิธ คลาร์กได้ทำการศึกษาเชิงวิเคราะห์ภายในห้องจัดเก็บเอกสาร และตัวอย่างผลงานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของ Loro Piana ที่เขตชุมชนวาราลโลของหุบเขาแห่งนี้ สิ่งทอรุ่นแรกซึ่งถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี สามารถสืบย้อนความเป็นมาไปได้ถึงปีค.ศ. 1926
นอกจากนั้น ยังมีภาพถ่ายกับเอกสารในกาลก่อน ตลอดจนหนังสือรวบรวมตัวอย่างผลงาน, คู่มือสิ่งทอ และแฟ้มบัญชีรายการต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นหลักฐานข้อมูลร้อยเรียงลำดับเหตุการณ์ยุคบุกเบิกของครอบครัว แสดงถึงการเป็นผู้นำนวัตกรรมมาใช้กับงานฝีมือโดยมีความพิถีพิถัน ใส่ใจต่อทุกรายละเอียดเป็นกลไกขับเคลื่อนวิวัฒนาการ นำพา Loro Piana จากการเป็นธุรกิจขนาดเล็กภายในครอบครัวอิตาเลียนมาสู่ตำแหน่งบริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตสิ่งทอ และเครื่องนุ่มห่มระดับสากลในปัจจุบัน
นิทรรศการกินพื้นที่ทั้งหมดของชั้นสองในตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ศิลปะผู่ตงเมื่อสุดบันไดเลื่อนขึ้นชั้นสอง คือทางเข้าส่วนแรกของนิทรรศการภายใต้ชื่อ The Story of Loro Piana เริ่มต้นเรื่องราวของเมซงทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตูสู่งานออกแบบภาพมิติพิพิธภัณฑ์ซ้อนพิพิธภัณฑ์ เรียงรายไปด้วยบรรดางานศิลป์ อันแสดงถึงพันธกิจมุ่งมั่นซึ่ง Loro Piana มีต่อมรดกงานฝีมือ และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม โดยอาศัยลูกเล่นปูหิน “ซานเปียตรินิ” แบบเดียวกับที่ใช้ตลอดลานด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ปินาโกเตกา ดิ วารัลโล ซึ่งเมซงได้ดำเนินการหยิบยืมผลงานศิลปะชิ้นสำคัญบางส่วนมาจัดแสดง
ในนิทรรศการครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานสร้างสรรค์จากกลุ่มศิลปินแห่งปิเอด์มองเตเซ และวาลเซเซียนอันล้วนแสดงให้เห็นถึงความงดงามทางทัศนียภาพในดินแดนบ้านเกิดของเมซง รวมถึงธรรมเนียมนิยมท้องถิ่นที่ส่งอิทธิพลต่อวิถีแห่ง “ครอบครัวโลโร เปียนา” อย่างลึกซึ้ง
จากนั้น ก็มาถึงผลงานศิลปะร่วมสมัยช่วงกลางศตวรรษ ซึ่งทั้งแซรโจ และลุยซา โลโร เปียนาต่างสะสมไว้เป็นคอลเลกชันส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นสุดยอดผลงานของลูโช ฟอนตานา, อัลแบรโต บูรริ, เอ็นริโก กาสเต็ลลานิ หรืออิมิลิโอ เวโดวา แต่ละชิ้นล้วนเป็นที่รู้จักในระดับสากลถึงนวัตกรรมทางการนำเสนอแนวคิดผ่านการเลือกใช้วัสดุในการสร้างสรรค์ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความผูกพันซึ่งคนในครอบครัวมีต่อแวดวงศิลปินอย่างต่อเนื่อง
หลังสัมผัสถึงรสนิยมชมชอบต่องานศิลป์ ก็มาถึงรกรากความเป็นมาของครอบครัวโลโร เปียนา และการเริ่มต้นธุรกิจผ่านการจัดวางตู้เก็บของติดตั้งระบบไฟให้แสงอย่างงามสง่าสำหรับใช้แสดงบรรดาภาพถ่ายทางประวัติศาสตร์กับเอกสารล้ำค่า ซึ่งถูกรวบรวมไว้ในห้องจัดเก็บเอกสารสำคัญทางประวัติสายตระกูลโลโร เปียนาที่ชุมชนวารัลโล
ท่ามกลางลำดับวิวัฒนาการของเมซงจากธุรกิจขนาดเล็กภายในครอบครัวมาสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมสินค้าหรู ทุกสายตาย่อมไม่อาจมองข้ามภาพโรงงานทั้งหลายของ Loro Piana แต่ละแห่งล้วนโดดเด่นด้วยปล่องไฟก่ออิฐแดง อันเป็นที่มาของสีน้ำตาลแดงเฉด kummel (คัมเมล) หนึ่งในสีสัญลักษณ์ประจำเมซง ดังปรากฏบนโลโก ตลอดจนผลงานสร้างสรรค์ต่างๆ ทั้งเสื้อผ้า และเครื่องหนัง
Into Fashion หรือ “สู่แฟชัน” คือส่วนจัดแสดงผลงานการออกแบบเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายอันทรงแบบฉบับระดับ Icon แต่ละรุ่นของ Loro Piana ท่ามกลางบรรดา Against Bad Weather หรือ “ตู้เก็บชุดทนสภาพอากาศ” ขนาดมหึมาผสานความอ่อนนุ่มเชิงสัมผัส และรูปลักษณ์เข้ากับคุณสมบัติกันน้ำ รองรับการตกแต่งผ้าแคชเมียร์ต่างก้อนเมฆสีเทา ตัวแทนความแปรปรวนทางดินฟ้าอากาศที่มิอาจทำอะไรต่อสิ่งทอคุณลักษณ์เหนือชั้นจากเมซง คืองานสร้างสรรค์ย้อนรำลึกถึงภาพโฆษณาขาว-ดำชวนหัวของ Loro Piana ระหว่างทศวรรษ 1990 ผ่านการจัดวางหุ่นเสื้อแสดงความงามสง่าของเสื้อโค้ตตัวเก่งที่แซรโจ โลโร เปียนาออกแบบ เติมเต็มความครบครันด้วยเครื่องประดับศีรษะ ผลงานสั่งทำพิเศษโดยสตีเฟน โจนส์
ไม่ต่างอันใดจากฉากภาพยนตร์ หุ่นเสื้อสวมโค้ตของ Loro Piana ยืนตัวแห้งไม่เปียกปอนอยู่บนพื้นน้ำกลางสระ แบบเดียวกับในภาพถ่ายชิ้นประวัติศาสตร์ของเมซง วัสดุ และอุปกรณ์ประกอบฉากทั้งหมดรวมถึงเรือใบเด็กเล่นลอยลำ ล้วนทำจากยางชนิดเดียวกับที่ใช้ผลิตพื้นรองเท้า white sole อันโด่งดังของแบรนด์
ทั้งหมดนี้ หาได้ต่างอันใดจากการต้อนรับผู้เยี่ยมชมนิทรรศการเข้าสู่อาณาจักรส่วนตัวของครอบครัวโลโร เปียนา จากคฤหาสน์ที่พำนักออกมาสู่สำนักงาน โรงงานผลิต รวมถึงคลังจัดเก็บตัวอย่างผลงานสร้างสรรค์
และเมื่อผ่านเข้าแกลเลอรีมาได้ครึ่งทาง ก็จะพบกับพื้นที่ซึ่งอาศัยงานปูพื้นสีขาว ให้ความรู้สึกเสมือนห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ สื่อถึงความพิถีพิถันทางรายละเอียดกับความล้ำสมัยของงานควบคุมคุณภาพกระบวนการแปรรูปวัตถุดิบผ่านมวลเส้นใยขนแพะอ่อนหรือ “เบบี แคชเมียร์” (Baby Cashmere) เตรียมพร้อมรอการตรวจสอบภายใต้กล้องจุลทรรศน์ขนาดยักษ์ โดยมีภาพขยาย 35,000 เท่าของเส้นใยผ่านเลนส์กล้องฉายขึ้นจอโค้งสี่ด้าน ขณะเดียวกับที่ข้อมูลอันอ่านได้จากกล้องจุลทรรศน์ ก็ถูกสลักไว้บนแผ่นแก้วประกบด้านข้างของตู้เก็บของ ทั้งหมดนี้เป็นงานออกแบบภาพมิติจุดประกายจินตนาการถึงห้องทดลองค้นคว้าภายในโรงงานที่วาลเซเซีย รวมถึงในกรุงปักกิ่ง เพื่อยืนยันว่าเบบีแคชเมียร์แต่ละเส้นใยจากทุกหน่วยผลิตทั้งหมด ล้วนได้คุณภาพตรงตามมาตรฐานอย่างแท้จริง
ในส่วนของ The Landscapes หรือ “ภูมิทัศน์แหล่งผลิต” อาศัยพื้นที่กว้างตลอดแนวผนังติดตั้งกรอบภาพงานตกแต่งวัสดุต่างเนื้อสัมผัส แสดงระดับความสูง-ต่ำลดหลั่นกันของภูมิประเทศแหล่งผลิตเส้นใยอันทรงเอกลักษณ์ชนิดต่างๆ จากทั่วโลกให้แก่ Loro Piana และนี่คือจุดเริ่มต้นพาทุกคนออกเดินทางแสวงหาวัตถุดิบแห่งความเป็นเลิศไปกับเมซง
ห้องจัดงานลำดับสองอาศัยศิลปะจำลองภูมิทัศน์ของประเทศจีน, เทือกเขาแอนดีส, ญี่ปุ่น, นิวซีแลนด์ และฝรั่งเศส แต่ละแห่งคือตัวแทนของบรรดาเส้นใยธรรมชาติอันทรงคุณลักษณ์อย่างหาได้ยากยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นแคชเมียร์, วิกูญา, เดอแน็ง (เดนิม), ขนแกะเมอริโน รวมกระทั่งลินิน พร้อมกันนั้น ยังมีแผ่นป้ายขนาดเล็กบันทึกตัวเลขแสดงความสูงของระดับพื้นที่, ความชื้นสัมพัทธ์ และจำนวนสัตว์พื้นถิ่นเจ้าของเส้นใยซึ่งถูกสาง และเก็บรวบรวมมาแปรรูปเป็นด้ายทอ ในส่วนนี้ บรรยากาศโดยรอบให้ความรู้สึกอ่อนโยน สบายจากจากผนังกรุนวมรายรอบพื้นปูพรม จุดประกายจินตนาการถึงสัมผัสนุ่มนวล ละมุนละไมบนมิติทรงประติมากรรมที่นำมาจัดวางไว้ในตำแหน่งต่างๆ
เพื่อสร้างความเกี่ยวพันตามลำดับห่วงโซ่การผลิต จึงมีการนำสิ่งทอแต่ละชนิดมาตัดเย็บขึ้นมิติทรงเสื้อผ้าถึงสิบชุด จัดวางเคียงข้างภูมิทัศน์ของแหล่งผลิตเส้นใยนั้นๆ และท่ามกลางความโดดเด่นของผลงานเหล่านี้ คือกระโปรงบานเต็มตัวรองรับงานฝีมือประดับแถบริบบินกุ๊นขอบผ้าแคชเมียร์กับผ้าไหม ทาบทันสลับซ้อนโอบกระหวัดรอบโครงสร้างกระโปรง ก่อลวดลายลดหลั่นเสมือนภาพจิตรกรรมค่าต่างแสง นอกจากนั้น ชุดสูท-กางเกงสามชิ้นสวมกับเสื้อเชิ้ตตัดเย็บจากผ้าขนสัตว์ทอลายตารางผ้ากระสอบด้วยเส้นใยฟั่นเกลียวอย่างที่เรียกว่า “ฮ็อปแซ็ค วูล” (Hopsack Wool) เติมเต็มความครบครันด้วยหมวกปีกกว้างผ้าสักหลาดทอจากเส้นใย Pecora Nera® คือผลงานย้อนระลึกถึงรูปแบบการแต่งกายของแซรโจ และเปียร์ ลุยจิ โลโร เปียนาผู้คงความงามสง่าอย่างเป็นธรรมชาติในทุกอิริยาบถ
ขณะเดียวกัน ก็ยังแสดงให้เห็นถึงคุณลักษณ์อันโดดเด่นเป็นหนึ่งของสิ่งทอเนื้ออ่อนนุ่ม น้ำหนักเบาภายใต้งานทอลายตารางขัดหยาบอำนวยต่อการระบายอากาศ มอบความสบายตัวยามสวมใส่ อีกทั้งยังช่วยลดความขึงขังของเครื่องแบบพิธีการ ให้ความรู้สึกลำลอง ดูอ่อนคลาย นอกจากนั้น ยังมีความหรูหราของเสื้อเชิ้ตสวมเข้าชุดกับกางเกงจีบทบตลอดความยาว และหมวกตัดเย็บจากผ้าลินินเนื้อโปร่ง (Solaire linen) เพื่อสะท้อนถึงเอกลักษณ์รายละเอียดเนื้อผ้า อันเป็นผลจากงานฝีมือทอยกโครงสร้างขัดด้ายขึ้นลายนูนสามมิติ ทวีความภูมิฐานให้แก่ภาพรวมของลุคการแต่งกาย
นอกจากนั้น ยังมีหุ่นเสื้อสวมเดรสเล่นน้ำหนักเชิงทรวดทรง ตัดเย็บจากผ้ายืดถักใยลินินดิบเผยความละเอียดของลายขัดเส้นใย ยืนเด่นเป็นสง่าอย่างภาคภูมิอยู่กลางโถงทางเดิน โดยจัดตำแหน่งให้หันหน้าเสมือนกำลังมองดูงานศิลปะจัดวางทำจากผ้าลินินโดยฝีมือของเชลา ฮิคส์
จากโถงทางเดินดังกล่าว นำไปสู่การค้นพบสัมผัสอ่อนนุ่มของสิ่งทอแบบฉบับ Loro Piana ในห้อง Cocooning ตกแต่งผนังกรุนวมด้านหนึ่งด้วยผ้าแคชเมียร์ และอีกด้านใช้วัสดุซับในเสื้อแจ็กเก็ต ก่อมิติแห่งการโต้ตอบดุจบทสนทนาอันแสนอบอุ่น เป็นกันเองระหว่างสิ่งทอเนื้อนุ่มต่างชนิด อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อความเกี่ยวพันทางลำดับจากแกลเลอรีห้องที่หนึ่งถึงห้องที่สอง ซึ่งปูผนังทั้งหมดด้วยผ้าแคชเฟอร์เพื่อเชื้อเชิญให้ผู้เยี่ยมชมได้เข้ามาแตะต้อง เช่นเดียวกับหุ่นเสื้อหกตัวสวมใส่เครื่องแต่งกายต่างลุคตัดเย็บจากผ้าแคชเฟอร์, แคชเมียร์ ตลอดจนใช้ผ้าคลุมห่อหุ้ม จัดวางในท่วงท่าหันหน้าไปหาบรรดางานศิลป์สร้างสรรค์โดยอาเดรียนา เมอนี ด้วยการใช้ด้ายทออันแสนเรียบง่ายอย่างที่สุดประกอบขึ้นโครงสร้างชวนตื่นตา
เพื่อยกย่องความสำคัญของสิ่งทออันถือเป็นมรดกความสำเร็จของ Loro Piana แต่ละผลงานต่างมีห้องจัดแสดงเป็นสัดส่วนของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นห้องแคชเมียร์, ห้องลินิน หรือห้องสิ่งทอขนแกะเมอริโนคุณภาพระดับรางวัล Record Bale ในขณะที่ศูนย์กลางห้องสำหรับ The Gifts of Kings® ทุกคุณลักษณ์เด่นของเส้นใย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผลงานสัญลักษณ์ประจำเมซง ถูกถ่ายทอดผ่านลูกเล่นจับเดรปหลั่นระดับอย่างต่อเนื่องของเดรสตัวยาวจรดพื้น ตกแต่งกระดุมประดับพลอยสีแดง “คัมเมล” อันทรงแบบฉบับ พร้อมกันนั้น สิ่งทอขัดลายทแยงที่ใช้ตัดเย็บชุดนี้ ยังผ่านกระบวนการ Rain System® หนึ่งในนวัตกรรมกันน้ำ ซึ่งได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็นเอกสิทธิ์ของเมซง
สำหรับส่วนที่สองของนิทรรศการ คือเรื่องราวความเป็นมาของ “ดอกหนาม” หรือ “ธิสเซิล” (Thistle) ซึ่งปรากฏบทบาทตลอดประวัติศาสตร์ของ Loro Piana ทั้งในฐานะเครื่องมือการผลิต, อุปกรณ์สำหรับเครื่องแต่งกาย ไปจนถึงแม่ลายรายละเอียดตกแต่ง
เริ่มจากเครื่องจักรดอกหนามหรือ thistle machine รุ่นต้นแบบที่ถูกขนส่งทางเรือจากอิตาลีมายังเซี่ยงไฮ้ ตระหง่านเด่นเป็นศูนย์กลางภาพมิติภายในห้องจัดงานส่วนนี้ สื่อถึงเทคนิคดั้งเดิมในการขัดผิวสิ่งทอบรรเทาความหยาบกร้าน นำมาซึ่งสัมผัสอ่อนนุ่ม ตามมาด้วยการเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งในตราประจำตระกูลโลโก เปียนามาตั้งแต่ค.ศ. 1951 โดยจิม แพ็ทริก ช่างศิลป์หัตถกรรมแกะสลักจากลอนดอนได้ออกแบบ สร้างสรรค์อิฐปูพื้นเดินลายประดับดอกหนาม รวมถึงตู้เก็บของ ตลอดจนโครงสร้างทรงโดมสำหรับใช้เป็นเวทีจัดวางเดรสทรงกลม อันอาศัยแรงบันดาลใจจากดอกไม้ผ้าแคชเมียร์งานฝีมือพื้นบ้านวาลเซเซีย จุดประกายจินตนาการถึงทุ่งดอกหนามบานสะพรั่งทั่วหุบเขาบ้านเกิดของครอบครัว
อีกหนึ่งผลงานยกย่องความสำคัญของดอกหนามในนิทรรศการครั้งนี้ คือกระโปรงสุ่มวงกว้างกับหมวกเข้าชุดปักลายดอกหนามอย่างอ่อนช้อยด้วยใยฝ้ายกับไหมจีน งานฝีมือสุดประณีตต้องอาศัยพรสวรรค์ของช่างปักถึงหกคนกับเวลาทำงานถึง 1,000 ชั่วโมงในการร้อยลูกปัดแก้ว 124.000 เม็ดร่วมกับเลื่อมแผ่น 59.000 เกล็ด
มาสู่ Restaging Valsesia หรือ “หมู่บ้านจำลองแห่งหุบเขาวาลเซเซีย” ส่วนสุดท้ายของนิทรรศการที่พาเราย้อนเวลาสู่บ้านเกิดของครอบครัวโลโร เปียนาผ่านภาพยนตร์ซึ่งได้รับการถ่ายทำขึ้นสำหรับวาระสำคัญครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อแบ่งปันเรื่องราวพันธกิจมุ่งมั่นตลอดเวลาอันยาวนานของเมซงผ่านเนื้อหาในลำดับภาพกระบวนการเบื้องหลังงานผลิต อันล้วนสะท้อนถึงการใช้ไหวพริบพลิกแพลงทักษะ ความชำนาญแขนงต่างๆ ของหัตถกรรมงานทอ เหนืออื่นใด กระทั่งจอฉายภาพยนตร์ยังถูกสรรค์สร้างอย่างพิถีพิถันจากแผนกผลิตงาน Loro Piana โดยใช้บรรดาสิ่งทออันทรงแบบฉบับของเมซงด้วยกรรมวิธีพิเศษ นั่นก็คือ เฉพาะส่วนกลางของผืนจอภาพจะมีเพียงด้ายพุ่ง ขณะที่ตอนบน และตอนกลางคือความสลับซับซ้อนของด้ายยืนนับร้อยเส้น พร้อมกันนั้น ยังมีหุ่นเสื้อสวมชุดผ้าซาตินทอไหมจับลอนทั่วทั้งตัวยืนตระหง่าน อวดรายละเอียดสลับซับซ้อนจรัสประกายระยิบระยับ ละมุนตาของงานปักด้ายร้อยลูกปัดกับเม็ดเลื่อมจากฝีมือช่างศิลป์ชุมชนลูเนวิลล์แห่งฝรั่งเศส ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 1,850 ชั่วโมงในการถ่ายทอดทัศนียภาพอันอุดมสมบูรณ์ของแมกไม้เขียวขจีประดับมวลพฤกษาหลากสีสันแห่งวาลเซเซีย
และก็มาถึงบทสรุปส่งท้ายนิทรรศการกับโซฟากรุผ้าแคชเมียร์ขนาดโอเวอร์ไซซ์จากงานต้นแบบของชินิ โบเอริรองรับนวมหุ้มสิ่งทอเลอค่าของ Loro Piana Interiors ที่เคยสร้างความฮือฮาเป็นอย่างยิ่งในสัปดาห์งานออกแบบมิลาน 2024 และกลับอีกครั้งเพื่อสะกดทุกสายตาให้ปรารถนาเข้าไปสัมผัสความนุ่มนวลชวนทิ้งกายพักผ่อนก่อนทอดสายตาชื่นชม Mappa Mundi (แม็ปปา มันดิ) หรือ “แผนที่โลก” ขนาดหกเมตร
ซึ่งศิลปินนักคิดจีน ชิว จื่อเจียถ่ายทอดพรสวรรค์ทางสุนทรียศิลป์ผ่านน้ำหมึกปลายพู่กันลงสู่ความอ่อนช้อย และสลับซับซ้อนของลายเส้นสลับซับซ้อนสะท้อนถึงประวัติศาสตร์การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมกับประเทศจีน ท่ามกลางท่วงทำนองขับกล่อมจรรโลงทัศนียภาพทางเสียงจากงานสร้างสรรค์ร่วมกันระหว่างผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ กั๋ว เหวินจิ้งกับนักเรียบเรียงเสียงประสานทางดนตรี หลิว ฮ่าว, ศิลปินขลุ่ยไม้ไผ่ ถัง จวินเฉียว และนักเปียโน ทิม จางเพื่อหลอมรวมขั้วต่างระหว่างสองวัฒนธรรมลงสู่หนึ่งบทเพลงประกอบภาพยนตร์อันแสดงให้เห็นถึงกระบวนการผลิตสิ่งทอ ตลอดจนขั้นตอนการทำงานเบื้องหลังนิทรรศการครั้งนี้
ในทุกภารกิจสู่ความเป็นเลิศของ Loro Piana ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางการเสาะหาทุ่งปศุสัตว์แหล่งต่างๆ ในแต่ละภาคพื้นทวีป หรือการแปรรูปวัตถุดิบด้วยหลากเทคนิค ซึ่งต้องอาศัยทักษะ ความชำนาญระดับสูง ตลอดจนความประณีต พิถีพิถันทางการตัดเย็บเครื่องแต่งกายอันแสดงถึงความงามสง่า ภูมิฐานเหนือกระแสความนิยมของยุคสมัยอย่างแท้จริง ถูกถ่ายทอดผ่านบรรดาผลงานซึ่งถูกจัดวางทั่วแกลเลอรีนิทรรศการเพื่อร่วมกันเล่าขานเรื่องราวความสำเร็จอย่างต่อเนื่องตลอด 100 ปีของ Loro Piana ผู้ผลิตสิ่งทอสัญชาติอิตาเลียนที่หลอมรวมธรรมเนียมงานฝีมือเข้ากับนวัตกรรมล้ำสมัย ก่อกำเนิดเป็นผลงานเอกลักษณ์อย่างหาได้ยากยิ่งเพียงหนึ่งเดียวของโลก
นิทรรศการนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 มีนาคมถึง 5 พฤษภาคม 2025 ณ Museum of Art Pudong (MAP) นครเซี่ยงไฮ้