ถอดรหัสศิลปะแห่ง ‘การเล่าเรื่อง’ ของ FAROSE และเรียนรู้จุดต่างๆในชีวิต สู่การเขียนเส้นทางความสำเร็จด้วยตัวเอง

ณัฏฐ์ กลิ่นมาลี หรืออีกชื่อหนึ่งที่คนรู้จักดีคือ ฟาโรส เจ้าของ FAROSE studio อาณาจักรยูทูบที่มียอดผู้ติดตามกว่า 8 แสนคน จากการเป็นเด็กกิจกรรมในมหาวิทยาลัย อาชีพการสอนหนังสือ สู่อาชีพคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่นำเสนอเนื้อหาในสายวิชาการและเกร็ดความรู้ต่างๆ ที่ดูเข้าใจยาก แต่ย่อยออกมาให้ฟังง่ายและสนุก ผสมผสานกับรายการ Vlog และ Podcast ไม่ว่าจะเป็นช่างเชื่อม ไกลบ้าน PYMK (people you may know) และอื่นๆ ในทั้ง 3 ช่องยูทูบชั้นนำอย่าง Farose, Farose podcast และ Jito
ชีวิตของคนเราต่างก็ต้องผ่านจุดหลายๆ จุดมาอย่างมากมาย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจุดต่างๆ ในชีวิตของเขาส่งผลในการร้อยเรียงกันสู่เส้นทางความสำเร็จ ในปัจจุบัน ฟาโรส ไม่ได้เป็นเพียงแค่ช่องยูทูบ แต่กลายเป็น community ให้ชาวช่องคอยแลกเปลี่ยนความรู้และความชอบซึ่งกันและกัน จนสามารถต่อยอดสู่การจัดทอล์กโชว์ประจำปีอย่าง FaraTALK ที่ขายบัตรหมดทุกรอบการแสดง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถของเขาในการเป็นผู้นำแห่งโลกคอนเทนต์ออนไลน์ และเชื้อเชิญให้เราต้องการที่จะถอดรหัสตัวตนของ ฟาโรส พร้อมค้นหาว่า ‘อะไร’ ที่พาเขาขีดเส้นสู่จุดที่ภาพในปัจจุบันของเขาสมบูรณ์
จุดที่ 1: ‘ความคิดสร้างสรรค์และการทำงานกับคนอื่น’
หากมองย้อนกลับไป รั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะอักษรศาสตร์ นอกจากจะให้วิชาความรู้ต่างๆ ยังหล่อหลอมให้ฟาโรสมีนิสัยชอบหาความรู้ในเรื่องต่างๆ อย่างเชิงลึก ชอบค้นคว้า อ่านหนังสือ แถมยังแวดล้อมด้วยคนประเภทด้วยกัน แต่เขาแตกต่างด้วยการชอบทำกิจกรรมนอกคณะ ซึ่งทำให้เขาโดดเด่นจากเหล่าเด็กอักษรประเภทเดียวกัน
“ตอนมหาวิทยาลัยชอบทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัยมาก นอกจากความเป็นเด็กอักษรที่มีความเนิร์ดและหลงใหลอะไรแบบจริงจังแล้ว เรายังชอบทำกิจกรรม ชอบไปอยู่กับคณะอื่นๆ ซึ่งเราก็จะได้โจทย์ยากๆ มา ที่เราก็ต้องคิดให้ตอบโจทย์ที่อาจารย์ให้มา เช่นทางมหาวิทยาลัยอยากให้จัดงานใหม่ขึ้น เรากับทีมเลยริเริ่ม CU Music Festival หรืองานประกวดทำคัตเอาต์วันลอยกระทงของคณะต่างๆ จุดนั้นอาจจะเป็นจุดที่ฝึกเราให้มีความคิดสร้างสรรค์ และการทำงานกับคนอื่นๆ”
จุดที่ 2: ‘ทักษะการสรุปและสื่อสารเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย’
ด้วยวิชาความรู้ที่มี เขาเริ่มทำสถาบันติวเตอร์ภาษาอังกฤษในชื่อ Farose Academy ที่เน้นในการสอนภาษาอังกฤษที่ไม่เน้นการท่องจำ แต่สอนให้คิดและเข้าใจในการสื่อสาร จนไปถึงการเข้าใจในราก ที่มาที่ไป และวิธีใช้ของแต่ละคำศัพท์ เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่บ่มเพาะทักษะการสรุปและถ่ายทอด ซึ่งจะเป็นเอกลักษณ์หนึ่งที่เขาใช้ในงานยูทูบ
“ความสามารถในการย่อยข้อมูลและอธิบายเรื่องราวที่ยากให้ง่าย มันอาจจะเกิดจากตอนที่เราสอนหนังสือกว่า 10 ปี เพราะการสรุปคือทักษะที่เราควรจะทำได้ ส่วนทักษะการสัมภาษณ์ ซึ่งเราก็ไม่รู้ตัวว่าเราทำได้ มันอาจจะเกิดจากที่เราชอบซักถามน้องในห้องเรียน คือในห้องเรียนของเรามักจะเป็นการพูดคุย และเลือกคำที่จะถามตอบอย่างไรให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกประหม่า
“เมื่อเรากระโดดมาทำงานยูทูบ จริงๆ แล้ว จุดนั้นมันเหมือนเราทำงานเดิม แต่เปลี่ยนจากนักเรียนเป็นผู้ชม เปลี่ยนเครื่องมือ เปลี่ยนรูปแบบเองการสอนหนังสือคงช่วยฝึกเราในขณะที่เราไม่รู้ตัว
“เราไม่ได้วาดฝันในการเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์มาก่อนเลยตั้งแต่ตอนเริ่มอาชีพสอนหนังสือมา แต่เราเป็นคนช่างสังเกต และเปิดรับโอกาสให้ตัวเองได้ลองทำดู จริงๆ มันจะมีช่วงที่ทำวิดีโอใหม่ๆ ที่เราจะรู้สึกท้อและอยากพอแค่นี้ แต่ในอีกแง่หนึ่งก็รู้สึกดีที่เราได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เสมอ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้มันคือ ‘การสำรวจ’ ว่าตัวเรามีอะไรและเรายังสามารถพัฒนาอะไรให้มีสิ่งใหม่ๆ และจุดต่อไปของชีวิต”
จุดที่ 3 : ‘การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เสมอ’
อาจจะเป็นเรื่องธรรมชาติที่ชีวิตต้องมี ‘จุดอิ่มตัว’ เป็นเวลา 10 ปีที่ฟาโรส ประสบความสำเร็จกับการสอนหนังสือ เขาเปิดเผยว่าเขาเริ่มหาอะไรใหม่ๆ ทำก่อนที่ตัวเองจะรู้สึก Burnout และสิ่งที่เขาเลือกเรียนเพิ่มคือวิชา ‘การตัดต่อ’ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเขาอีกครั้ง ในอาชีพใหม่ที่เรียกว่า คอนเทนต์ครีเอเตอร์
“เราเป็นคนที่เบื่อง่ายมากเลย คำว่า เบิร์นเอาท์ มีโอกาสจะเกิดเมื่อเราทำอะไรซ้ำๆ อย่างตอนช่วงสอนหนังสือ เพราะงานค่อนข้างเป็นเหมือนเดิมในทุกวัน และเรารู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ เมื่อนึกย้อนไป จุดนั้นเราก็เกือบหมดแรงแล้วเหมือนกัน แต่โชคดีที่กลับมาได้เพราะเราหาอะไรใหม่ๆ เรียนอย่างการเรียน ‘ตัดต่อ’
“แต่ความยากก็คือ ‘เส้นทางชีวิต’ ของทุกคนมีเงื่อนไขเสมอ งานบางอย่างทำแล้วได้เงินเพื่อการดำรงชีวิต เราก็ต้องจัดการตัวเองก่อนว่างานนี้ทำเพื่อความมั่นคง งานนี้ทำเพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจ ในช่วงเวลาที่เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างสองอาชีพนี้ มันเป็นความโชคดีและขอบคุณที่เรามีทุนทรัพย์จากการสอนหนังสือ จุดนั้นเราจึงสามารถเอาทุนจากส่วนนี้ไปท่องเที่ยวและเกิดเป็นรายการไกลบ้าน ฉะนั้นยูทูบจะไม่เกิดหากเราไม่ได้ทำ Farose Academy ที่เป็นจุดทำให้เรารู้สึกมั่นคงทางชีวิตและการเงินเช่นกัน”
จุดที่ 4 : ‘การฟังเสียง วิเคราะห์ และตอบสนองผู้ชม’
“หลังจากที่เราเรียนตัดต่อ เราก็เริ่มทำวิดีโอลงช่อง เริ่มจากรายการ ‘ไปเรื่อย’ และ ‘ไกลบ้าน’ และก็เริ่มมีคนให้ความสนใจจนเกิดเป็น ‘ชาวช่อง’ และเราก็ทำช่อง Farose มาเรื่อยๆ เน้นเป็นรายการ vlog ต่างๆ ตอนนั้นเรามีอยู่ช่องเดียว ต่อจากนั้นเราก็สังเกตได้ว่าในช่องหลัก (Farose) ของเรา พอเราใส่รายการ พอดแคสต์ (People You May Know) เข้าไป มันมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ เพราะผู้ชมบางกลุ่มอยากดูรายการ vlog ไม่ได้อยากดูรายการพูดคุยนิ่งๆ เราเลยแตกช่องออกเป็น Farose podcast หากมองย้อนกลับไป ต้องขอบคุณแพลตฟอร์มที่มีข้อมูลหลังบ้าน ทำให้เราได้สำรวจและวิเคราะห์ ‘พฤติกรรมของผู้ชม’ ซึ่งเราก็มองว่ามันคือโอกาส ทำให้เราคุยกับอัลกอริทึม (algorithm) และระบบหลังบ้านได้ง่ายขึ้น
“เช่นเดียวกันกับช่อง Jito ก็เป็นอีกช่องหนึ่งที่เราแยกออกมา ซึ่งได้จากการสำรวจความชอบและความสามารถของ ‘พี่ต่อ’ และชาวช่อง
“พี่ต่อเป็นดาราช่องอีกท่านหนึ่งในช่องหลัก ซึ่งเขาเองก็มีแฟนคลับ อันเหนียวแน่น และแฟนๆ เองก็เรียกร้องให้เขามาออกบ่อยๆ เราจึงแตกช่องแยกตามเสียงของผู้ชมและนำเสนอเนื้อหาที่ไม่ขัดแย้งกับตัวตนของพี่ต่อ และเราให้ชื่อว่าเป็นช่อง ‘กุฏิ’ ที่เน้นความสนใจเรื่องปกิณกะโบราณ ประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาและพระไตรปิฎกตามความสนใจของพี่ต่อ”
จุดที่ 5 : ‘การต่อยอดสู่สิ่งที่ใหญ่กว่าเดิม’
ในวงการคอนเทนต์ครีเอเตอร์ การจัด Meet and Greet ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่น่าภูมิใจในอาชีพ เพราะมันคือการพิสูจน์ถึงฐานแฟนคลับและผู้ติดตามที่ชื่นชมผลงานของช่องนั้นๆ งาน FaraTALK ถือเป็นโอกาสที่ทำให้ฟาโรสและทีมงานได้พบปะแฟนๆ หรือ ‘ชาวช่อง’ ไอเดียการจัด Meet and Greet จึงเกิดขึ้น แต่จัดแบบธรรมดาก็จะดูไม่ใช่ ฟาโรส เสียเลย
“เมื่อสังเกตช่องเรา รายการส่วนใหญ่มักจะมีการแทรก ‘เกร็ดความรู้’ ซ่อนอยู่ในนั้น และสิ่งเหล่านั้นบางทีมักถูกตัดออกจากวิดีโอ เพราะด้วยกระบวนการในการผลิต พอตัดทิ้งไปเยอะๆ เราก็รู้สึกเสียดาย ประกอบกับชาวช่องหลายคนก็รู้สึก ‘อยากฟังอีก’ เราเลยจับสองสิ่งนี้มาเจอกัน ซึ่งเกิดเป็น FaraTALK สำหรับครั้งล่าสุดนี้ เรากลับไปสำรวจว่าเรามีอะไรและสามารถทำอะไรได้อีก รอบนี้เราได้สังเกตว่าเรามักจะพูดถึง ‘ชื่อ’ เป็นสิ่งแรกใน บทสนทนาบ่อยครั้ง เมื่อเราพบเจออะไรใหม่ๆ ในรายการ จึงเกิดเป็นธีม What’s in a name? ซึ่งเรารู้สึกว่าผู้ชมน่าจะชอบหัวข้อนี้ไม่มากก็น้อยและคิดว่ามีเรื่องมากมายที่พร้อมจะเล่าสู่กันฟัง”
การจัด FaraTalk ทั้ง 3 ครั้งเป็นการต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่สู่สิ่งที่ใหญ่กว่าเดิม เพราะคุณภาพเนื้อหาที่กลั่นกรองออกมาอย่างลึกซึ้งบนเวทีนำไปสู่ การเชื่อมโยงเข้ากับวงการอื่นๆ อย่างเช่นแฟชั่นอีกด้วย
“ใน FaraTALK ที่ผ่านมา เราอยากให้ตัวโชว์มีลูกเล่น สนุกสนานด้วยองค์ประกอบของแฟชั่นเป็นรายละเอียดเสริมเข้าไปผ่านเครื่องแต่งกาย เรารู้ว่าแฟชั่นไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิวเผิน แฟชั่นคือภาษา มันคือการสื่อสารอย่างหนึ่ง การเล่าเรื่องราวอะไรบางอย่าง จริงๆ ตัวเองไม่ได้เป็นคนแต่งตัวเก่ง เป็นแฟชั่นนิสต้า แต่ว่ามีคนรอบข้างที่ค่อนข้างสนใจแฟชั่น และเราก็ทำความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์แฟชั่น นอกจากนี้ก็ยังเป็นเวทีที่จะให้แบรนด์ POEM ได้แสดงออกในอีกแง่มุมหนึ่ง เวลาที่เราเห็น POEM รู้สึกว่าเขาพยายามที่จะเล่าอะไรบางอย่างเสมอ ซึ่งเริ่มทำงานด้วยจากการพูดคุยทั้งเรื่องเนื้อหาในโชว์ และองค์ประกอบฉากในแต่ละช่วง เช่นของพี่ก๊อตจิที่พูดถึงวัฒนธรรมจีน ชุดจะมีซิลลูเอตแบบกี่เพ้าในสีโอลด์โรส ที่เมื่อยืนอยู่หน้ากราฟิกที่ฝ่ายเวทีจัดเอาไว้จะส่งเสริมกันอย่างลงตัว”
การพูดคุยกับฟาโรสจุดประกายความคิดที่ว่าการทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จ มันไม่ได้ง่ายๆ ไม่ใช่ว่าเวลาเพียง 10 ปีจากจุดแรก เขาจะสามารถไปถึง สิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เลย ความฝันเป็นสิ่งที่ดีที่จะนึกถึง แต่ประสบการณ์ในแต่ละช่วงชีวิตจะช่วยลากเส้นทางจุดต่อจุดให้เกิดเป็นภาพฝันที่ชัดเจนและทำความสำเร็จนั้นให้เป็นจริง ที่สำคัญคือต้องให้เวลากับตัวเองและหมั่นสังเกตความสามารถที่เรามี เพื่อที่จะเตรียมความคิดของตัวเองให้พร้อมที่จะพัฒนา ต่อยอด และเปิดรับโอกาสใหม่ๆ เสมอ
ช่างภาพ: Thanut Treeschanchacha
บรรณาธิการ: Watcharachai