ทำความเข้าใจกับรากฐานทางวัฒนธรรมของวันขอบคุณพระเจ้า
ทำความรู้จักวันขอบคุณพระเจ้า เทศกาลแห่งการขอบคุณและการเฉลิมฉลอง
บทความ: เนตรนภา ปะวะคัง ภาพ: ชัตเตอร์
เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน กลิ่นอายของ “วันขอบคุณพระเจ้า” หรือ “เทศกาลขอบคุณพระเจ้า” จะอบอวลไปทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งยังแผ่ขยายไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ ของโลกด้วย เทศกาลอันทรงคุณค่านี้มิได้เป็นเพียงโอกาสในการรับประทานอาหารค่ำร่วมกันของคนในครอบครัว หากแต่ยังเป็นการเฉลิมฉลองที่หยั่งรากลึกในประวัติศาสตร์และสะท้อนความงดงามของวัฒนธรรมซึ่งยังคงมีบทบาทสำคัญในสังคมสมัยใหม่แม้เทศกาลนี้จะกำเนิดมาหลายร้อยปีแล้วก็ตาม
ตามบันทึก เทศกาลขอบคุณพระเจ้าถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1621 เมื่อกลุ่มผู้แสวงบุญที่เรียกว่า พิลกริม ซึ่งอพยพจากอังกฤษมาตั้งรกรากในเมืองพลีมัธ (Plymouth) รัฐแมสซาชูเซตส์ได้จัดงานเลี้ยงฉลองขอบคุณพระเจ้าเนื่องในโอกาสที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตครั้งแรกได้ในดินแดนใหม่ หลังจากที่พวกเขาผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากทั้งเรื่องสภาพอากาศ โรคภัยไข้เจ็บ และความอดอยากมาได้ งานเลี้ยงประวัติศาสตร์ครั้งนั้นจัดขึ้นในวันที่ 28 เดือนพฤศจิกายน โดยพวกเขาได้เชิญชนพื้นเมืองอเมริกันเผ่าวัมปาโนอักมาร่วมงานด้วย เนื่องจากชาววัมปาโนอักได้แบ่งปันภูมิปัญญาด้านการเพาะปลูกและการดำรงชีวิตในธรรมชาติให้กับกลุ่มพิลกริมนั่นเอง
จากที่เป็นวันหยุดและเทศกาลเฉลิมฉลองเฉพาะในบางพื้นที่ ต่อมาในปี ค.ศ. 1863 ความสำคัญของวันขอบคุณพระเจ้าก็ทวีคูณขึ้น เมื่อประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ประกาศให้วันขอบคุณพระเจ้าเป็นวันหยุดประจำชาติ ด้วยเจตนารมณ์ในการเสริมสร้างความสามัคคีท่ามกลางความขัดแย้งในช่วงสงครามกลางเมือง โดยวันขอบคุณพระเจ้าจะตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ซึ่งหน่วยงานรัฐบาลก็จะปิดทำการเป็นเวลา 2 วันนั่นคือ วันพฤหัสบดี (วันขอบคุณพระเจ้า) และวันศุกร์ ก่อนจะเปิดทำการอีกทีในวันจันทร์ถัดมา
แม้เวลาจะผ่านพ้นไปหลายศตวรรษ แต่แก่นแท้ของวันขอบคุณพระเจ้าก็ยังคงดำรงอยู่อย่างมั่นคง นั่นคือ “การขอบคุณ” ไม่ว่าจะเป็นต่อพระเจ้า ครอบครัว มิตรภาพ หรือโอกาสในชีวิต วันขอบคุณพระเจ้าจึงเป็นช่วงเวลาพิเศษที่ผู้คนได้หยุดพักจากวิถีชีวิตอันเร่งรีบและหวนกลับมาให้ความสำคัญกับสายสัมพันธ์อันอบอุ่น สำหรับครอบครัวชาวอเมริกันส่วนใหญ่ การรวมตัวรอบโต๊ะอาหารค่ำคือหัวใจสำคัญของเทศกาลนี้ สมาชิกในครอบครัวต่างเดินทางไกลจากทุกสารทิศเพื่อกลับมาพบกันอีกครั้ง ทำให้เทศกาลนี้เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมความผูกพันที่อาจจางหายไปในชีวิตประจำวัน
(ภาพ: The St. Regis Bangkok)
หนึ่งในสัญลักษณ์อันโดดเด่นที่สุดของวันขอบคุณพระเจ้าคือมื้ออาหารที่จัดเต็มไปด้วยไก่งวงอบหอมกรุ่น ซอสแครนเบอร์รีรสเปรี้ยวหวาน มันฝรั่งบดเนื้อนุ่ม และพายฟักทองหรือพายแอปเปิลหอมหวาน ซึ่งในบรรดาอาหารทั้งหมด ไก่งวงได้กลายเป็นตัวแทนของเทศกาลนี้อย่างแท้จริง ด้วยเหตุที่ในยุคบุกเบิกอเมริกา ไก่งวงเป็นสัตว์พื้นเมืองที่พบได้ทั่วไปในป่าแถบอเมริกาเหนือ อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวขนาดใหญ่ได้ในมื้อเดียว และไม่ใช่สัตว์ที่จำเป็นต่อการผลิตนมหรือไข่ในฟาร์ม การนำไก่งวงมาประกอบอาหารจึงไม่กระทบต่อวิถีชีวิตประจำวัน
แม้หลักฐานทางประวัติศาสตร์จะไม่ได้ระบุชัดเจนว่าไก่งวงเป็นอาหารหลักในงานเลี้ยงขอบคุณพระเจ้าครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1921 แต่เมื่อถึงศตวรรษที่ 19 ไก่งวงก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ผูกพันกับเทศกาลนี้อย่างแนบแน่น สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์และความพร้อมเพรียงของครอบครัว และนอกเหนือจากมื้ออาหารแล้ว การสวดภาวนาเพื่อแสดงความขอบคุณต่อพระเจ้าและสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาก็เป็นประเพณีที่สืบทอดต่อกันมาช้านานเช่นกัน
กิจกรรมอื่นๆ ที่นิยมปฏิบัติในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า นอกจากการร่วมรับประทานอาหารร่วมกันของคนในครอบครัว ก็เห็นจะเป็นการชมขบวนพาเหรดวันขอบคุณพระเจ้าของห้าง Macy’s อันโด่งดังที่จัดขึ้นในกรุงนิวยอร์ก ริเริ่มขึ้นในปีค.ศ. 1924 ขบวนพาเหรดสุดอลังการที่มีทั้งบอลลูนขนาดมหึมา การแสดงดนตรีอันตระการตาจากทั้งนักแสดงบอร์ดเวย์และวงโยธวาทิตจากทั่วประเทศ และขบวนรถแห่อันวิจิตรจะเริ่มเคลื่อนขบวนจากสวนสาธารณะเซ็นทรัลปาร์คฝั่งตะวันตกและถนนหมายเลข 6 ทำให้ท้องถนนในแมนฮัตตันเต็มไปด้วยสีสันและชีวิตชีวา และสามารถดึงดูดผู้คนนับล้านจากทั่วโลก นอกจากนี้ การชมการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลเกมวันขอบคุณพระเจ้าร่วมกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาของสมาชิกในครอบครัวก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมประจำเทศกาลที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
เมื่อวันขอบคุณพระเจ้าผ่านพ้นไป ก็ถึงเวลาของ “แบล็คฟรายเดย์” เทศกาลช้อปปิ้งครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของปีซึ่งจะตรงกับวันศุกร์ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน ร้านค้าและแบรนด์ต่างๆ จะจัดแคมเปญลดราคาสินค้า 50-90% กันเลยทีเดียว เสมือนเป็นการต่อยอดความรื่นเริงจากเทศกาลขอบคุณพระเจ้า กระตุ้นให้ผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยหลังช่วงวันหยุดยาว รวมถึงเป็นจุดเริ่มต้นของการชอปปิ้งสำหรับช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ด้วย
แม้เทศกาลขอบคุณพระเจ้าในยุคปัจจุบันเริ่มแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา หลายครอบครัวเลือกที่จะไม่ยึดติดกับประเพณีดั้งเดิม แต่หันมาเฉลิมฉลองในรูปแบบที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของตน ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนในรีสอร์ตสุดหรู การรับประทานอาหารค่ำในร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งระดับมิชลิน หรือการจัดงานเลี้ยงที่ผสมผสานเมนูร่วมสมัยเข้ากับอาหารดั้งเดิม แต่ถึงอย่างนั้น ความพิเศษที่แท้จริงของวันขอบคุณพระเจ้าก็ยังคงอยู่ นั่นคือ โอกาสในการแบ่งปันช่วงเวลาอันมีค่ากับคนที่รักและการหวนระลึกถึงพรอันประเสริฐที่ชีวิตมอบให้ เป็นช่วงเวลาแห่งการเติมเต็มจิตวิญญาณและสร้างความหมายให้กับการดำรงอยู่ของชีวิต
บทความที่เกี่ยวข้อง: ทำความเข้าใจกับเครื่องเคียงเกาหลีของบันชาน