บทบาท ความฝัน และก้าวต่อไปในอนาคตของ ‘วิลเลี่ยม-จักรภัทร’ และ ‘เอส-ศุภ’

ซีรีส์ ‘เธมโป้’ หรือ ‘Thamepo Heart That Skips a Beat’ นั้น เรียกว่ามาสร้างสีสันให้กับวงการซีรีส์วายของปีนี้ได้อย่างดี ด้วยพล็อตเรื่องที่สดใหม่และน่าติดตาม พร้อมกับเรื่องราวที่นอกจากเส้นเรื่องความรักของตัวละครหลักแล้ว ยังมีเรื่องราวมิตรภาพและการสู้ฝ่าฟันของเพื่อนให้เราได้ชุ่มชื่นหัวใจและร่วมลุ้นในการทำตามความฝันของทุกตัวละครไปโดยไม่รู้ตัว และแน่นอน ซีรีส์เรื่องนี้ยังทำให้หลายๆ คนได้รู้จักกับสองนักแสดงอย่าง ‘วิลเลี่ยม-จักรภัทร’ และ ‘เอส-ศุภ’ ใน ซีรีส์เรื่องแรกที่พวกเขาได้มารับบทบาทนำ จากที่หลายๆ คนคุ้นหน้าพวกเขาในผลงานอื่นๆ ในวงการบันเทิง ถึงแม้จะผ่านตอนจบของซีรีส์มาซักพักใหญ่แล้ว แต่นี่ก็ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของพวกเขาทั้งคู่เท่านั้น ในฉบับนี้ เราขอพาคุณไปเจาะลึกถึงตัวตนของทั้งคู่ ผ่านมุมมองเกี่ยวกับตัวของพวกเขาเอง บทบาทที่แตกต่างในแต่ละช่วงชีวิต และก้าวต่อไปในอนาคตกับคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกอย่าง Love Out Loud Fan Fest 2025 : Lovemosphere
คือ SUPHA
คำนิยามตัวตนของ –เอส– เป็นอย่างไร–
ถ้าคำเดียวเลยคือคำว่า ‘Independent’ ครับเพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นในวงการว่ายน้ำหรือในวงการบันเทิง มันทำให้ผมรู้สึกได้ว่า ‘You are on your own’ ทุกอย่างที่จะเกิดกับเราขึ้นอยู่กับตัวเรา เป็นความรับผิดชอบของตัวเรา ที่จะเติบโตและผ่านแต่ละสถานการณ์ในชีวิตไปให้ได้ อย่าหวังพึ่งพาคนอื่นไปก่อน เดินเอง ล้มเอง ลุกเอง
มีมุมมองเกี่ยวกับตัวเอสที่คิดว่ายังไม่มีใครรู้และอยากแชร์ให้ฟังบ้างไหม?
คนรอบข้างจะชอบคิดว่าผมเป็นคนเข้าถึงยาก มีโลกส่วนตัวสูง อาจจะเพราะในชีวิตประจำวัน ผมเป็นคนหน้านิ่งซึ่งบางคนก็บอกว่าดุบ้าง ไม่เฟรนด์ลี่บ้าง แต่จริงๆ ตัวผมเป็นคนชิลล์มาก สบายๆ ถ้าอยู่กับเพื่อนก็จะเป็นคนง่ายๆ แต่ถ้าเรามีอะไรที่อยากทำหรือมีแพลนในวันนั้นๆ เราก็จะพูดจะบอกนะ อย่างเวลาทำงานหรือเวลาที่ไปเที่ยวผมก็อยากจะให้มีแผนหรือตารางไว้ซักหน่อย จะได้รู้ว่าเราต้องทำอะไรบ้าง เรียกว่าจะจริงจังกับเรื่องที่ต้องจริงจัง แต่ในช่วงเวลาอื่นๆ ก็จะปล่อยจอย มีติ๊งต๊องบ้าง ว่ากันไป
จากนักกีฬาสู่นักแสดงบทบาทที่ได้รับเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง–
ผมว่ามันต่างกันแบบคนละขั้วเลย ในแต่ละบทบาทมันมีความยากและความง่ายในตัวมันเอง อย่างการว่ายน้ำมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นสิ่งที่เราทำมาตั้งแต่เด็กๆ พูดได้ว่าเราเชี่ยวชาญในด้านนี้และเป็นสิ่งที่เราคุ้นชินไปแล้ว สิ่งที่จะท้าทายเราในพาร์ทของการว่ายน้ำก็จะเป็นเรื่องของสถิติ คะแนน การแข่งขัน หรือเป้าหมายของเราเองมากกว่า กลับกันในพาร์ทของนักแสดง ต่อให้เราเล่นซีรีส์มาแล้วหลายเรื่อง การได้มารับบทนำใน ‘Thamepo Heart That Skips a Beat’ ครั้งนี้ทำให้เราได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับการแสดงเยอะขึ้นมาก รวมไปถึงความรับผิดชอบในบทบาทของนักแสดง ที่นอกจากการถ่ายทำซีรีส์แล้ว ก็จะมีเรื่องของอีเวนท์ต่อยอดออกมาจากตัวซีรีส์ อย่างเช่น Thamepo Our Last Beat Fan Party ที่เราได้มาสนุกกับแฟนๆ ในตอนสุดท้ายของซีรีส์ ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันมาพร้อมกันทั้งหมด ซึ่งเป็นความท้าทายในอีกรูปแบบหนึ่งที่เข้ามาในชีวิต แต่ก็มีสิ่งที่สองบทบาทนี้ให้กับผม และนำมาปรับใช้ได้กับทั้งสองพาร์ทก็คือการแบ่งเวลาและการจัดการตัวเอง ผมรู้สึกว่า ไม่ว่าจะทำอะไร ถ้าเราเป็นคนที่เตรียมตัวดี มีแพลนที่ดี แบ่งเวลาได้ดี จะทำให้ทุกอย่างที่เราทำราบรื่น ถึงแม้มันจะท้าทายมาก็ตาม
หลังจากเป็นนักแสดงเต็มตัวแล้วมีบทบาทไหนที่อยากเล่นในอนาคตบ้าง–
ก็อยากเล่นทุกบทบาทนะ แต่สิ่งที่ตัวผมอยากเล่นเลยจริงๆ คือเล่นภาพยนตร์ อยากมีอารมณ์แบบ พาครอบครัวไปชมผลงานของเราในโรงหนัง ผมเคยคุยกับรุ่นพี่หรือแอคติ้งโค้ช ว่าแอคติ้งในแต่ละรูปแบบ ทั้งซีรีส์ ละคร หรือภาพยนตร์นั้นมันแตกต่างกัน ส่วนตัวเราเคยเล่นแต่ซีรีส์ อยากลองเรียนรู้การแสดงในรูปแบบใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นบทบาทใหม่ๆ หรือสเกลการแสดงใหม่ๆ บ้างครับ
ถ้าไม่ได้เข้ามาทำงานในวงการบันเทิงหรือกีฬาคิดว่าจะทำอะไรอยู่ในตอนนี้–
มีหลายทางเลือกมากเลย แน่นอนล่ะ ผมอาจจะยังว่ายน้ำอยู่ ไปแข่งระดับประเทศ แล้วก็ไล่ล่าความฝันในการไปแข่งขันโอลิมปิก หรืออีกทาง ก็คือไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ เคยคุยกับที่บ้านไว้นานมากแล้วว่าอยากไปใช้ชีวิตที่ ‘independent’ (หัวเราะ) อยากลองใช้ชีวิตคนเดียวในต่างประเทศ อยากไปเรียนในสิ่งที่อยากเรียน เพราะตอนเรียนปริญญาตรี ยังหาตัวเองไม่เจอขนาดนั้นที่คิดไว้จะเป็นสายอาชีพต่างๆ หรือทางเลือกสุดท้ายที่เคยคิดไว้คืออยากเป็นนักบิน คิดว่าน่าจะเป็นอาชีพที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของเรา จริงๆ แล้วไม่เคยกำหนดเอาไว้ว่าอนาคตจะต้องทำอะไรแบบจริงจังขนาดนั้น อยากปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลามากกว่าครับ
พูดถึงความท้าทายมาหลายด้านอะไรคือความท้าทายในวัยนี้?
‘การโตเป็นผู้ใหญ่’ ผมรู้สึกว่ามันครอบคลุมหมดเลยนะ ความท้าทายมันเข้ามาในทุกรูปแบบ ทั้งเรื่องของอารมณ์และความสามารถ เราอยู่ในที่ที่ทุกๆ คนมองเห็นเราได้ตลอดเวลา มีคอมเมนท์ในหลายๆ รูปแบบเข้ามา ทั้งด้านบวกและด้านลบ ต้องจัดการตรงนี้ให้ดีกว่าแต่ก่อน ส่วนในด้านความสามารถ ผมรู้สึกว่าเราต้องท้าทายตัวเองไปเรื่อยๆ ลองเปิดใจทำในสิ่งใหม่ๆ ที่เราไม่เคยทำ อย่างการขึ้นคอนเสิร์ตหรือมากไปกว่านั้นที่กำลังรอเราอยู่ในอนาคต ยอมรับความท้าทายเหล่านั้นเพื่อพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น ถึงจะไม่ใช่สิ่งที่เราถนัดมาก แต่ก็อยากลองทำและอยากทำแต่ละผลงานออกมาให้ดีที่สุด
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้หรือเดินทางไปอนาคตได้จะทำอะไร
คงอยากไปในอนาคต อยากไปเห็นชีวิตต่อจากนี้ ซัก 10 ปีแล้วกัน อยากรู้ว่าชีวิตตอนนั้นจะเป็นยังไง เราทำให้ชีวิตของเราหรือชีวิตของคนรอบข้างดีขึ้นไปได้อีกไหม และถ้าพูดกับตัวผมในตอนนั้นได้ ก็คงขอบคุณตัวเองที่อยู่ไปถึงตอนนั้น เพราะตัวผมในอีก 10 ปีข้างหน้าก็คงผ่านอะไรมาเยอะ หนทางอาจจะไม่ได้เรียบหรู ก็อยากขอบคุณที่ใช้ชีวิตได้จนถึงตอนนั้น
ได้มาทำงานกับวิลเลี่ยมแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
รู้สึกว่าโชคดี ดีใจที่ได้มาทำงานกับน้อง ผมเคยเล่นซีรีส์วายมาเมื่อนานมากแล้ว แต่ไม่ได้เล่นต่อ ซึ่งตั้งแต่ตอนนั้นเรารู้สึกว่าอยากมีพาร์ทเนอร์ที่ทำงานด้วยกัน เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ด้วยว่าอยากมีพาร์ทเนอร์ (หัวเราะ) แล้วพอเราแคสบทโป้ผ่าน ก็ทำให้เราได้มามีพาร์ทเนอร์เป็นน้องทำให้เรามีสีสันในชีวิตมากขึ้น มีคนที่อยู่ข้างๆ เราในพาร์ทของการทำงานและอีกหลายๆ พาร์ทในชีวิต ต่อให้มีปัญหาหรือแรงกดดันเข้ามา ก็ยิ่งทำให้เราสนิทกันมากขึ้น ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้สำคัญมากในการทำงาน ถ้าไม่มีปัญหาเลย เราอาจจะไม่ได้คุยกัน อาจจะไม่ได้เข้าใจกันมากขนาดนี้ ถ้าเราไม่ได้สนิทใจกัน ในอนาคตเกิดมีปัญหาขึ้นมา ก็อาจจะแตกหักกันไปเลย เหมือนท่อน้ำมันรั่ว เราก็ช่วยกันปะไปเรื่อยๆ ดีกว่าปล่อยให้ท่อมันแตก ตอนนี้เราก็เลือกมองแต่เรื่องดีๆ และก้าวต่อไปอย่างแข็งแรง
คู่ของเราถือว่าเป็นหนึ่งในน้องใหม่สำหรับ Love Out Loud Fan Fest 2025: Lovemosphere ถ้าได้ออกแบบโชว์คู่ตัวเองจะออกแบบเป็นโชว์แบบไหน–
เราสองคนมีแนวเพลงที่ชอบคล้ายกันซึ่งยังไม่ได้ร้องกันจริงๆ จังๆ ในงานที่ผ่านๆ มา นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ทำโชว์ด้วยกัน มันจะเป็นโชว์ที่มีความเป็นตัวตนของ ‘วิลเลี่ยม-เอส’ และจะสื่อออกไปด้วยเพลงที่เราเลือกกันมา ซึ่งเราจะตั้งใจทำออกมาให้ดีที่สุด และเชื่อว่าทุกคนจะชอบโชว์ของเรา
William Jakrapatr
คำนิยามตัวตนของ –วิลเลี่ยม– เป็นอย่างไร–
ขอนิยามตัวเองเป็น ‘ชาวร็อก’ แล้วกัน ในช่วงม.ต้น เรายังหาตัวตนไม่ค่อยเจอเท่าไหร่ แค่รู้ว่าเราร้องเพลงและเล่นดนตรีได้ แต่พอมาถึงช่วง ม.ปลาย ได้เข้ามาเรียนเรื่องดนตรีจริงๆ ซึ่งวิชาเอกในด้านการร้องเพลงที่มีให้เลือกไม่ได้มีแนวเพลงทั่วไปที่เราคุ้นเคยอย่างเพลงป็อป เลยเลือกเอกขับร้องบนเวที (Musical Theatre) และได้มาเจอกับกลุ่มเพื่อนที่ชอบดนตรีแนวร็อกเหมือนกัน จับกลุ่มเล่นดนตรีร้องเพลงร็อกด้วยกันมาตลอด และยิ่งเราได้เจอกับแรงบันดาลใจที่ตรงกับความชอบของเราอย่างวงร็อก My Chemical Romance ก็ยิ่งทำให้เรามั่นใจว่านี่คือตัวตนของเรา เราชอบความร็อก ความดิบ ผมเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ค่อยอ้อมค้อม คำนิยามนี้คงเหมาะกับตัวผมที่สุด
มีมุมมองเกี่ยวกับตัวเองที่คิดว่ายังไม่มีใครรู้และอยากแชร์ให้ฟังบ้างไหม–
จริงๆ ผมเป็นคนที่เซนสิทีฟมากๆ นะ หลายคนอาจจะมองว่าผมเป็นคนซื่อหรือยังเป็นเด็กซนๆ แต่ผมอ่อนไหวง่ายมากๆ เจออะไรนิดหน่อยก็จะรู้สึกแล้วถึงภายนอกจะดูไม่ได้เป็นคนแบบนั้นก็ตาม
แล้วมีวิธีฮีลใจตัวเองอย่างไรบ้างถ้าเกิดเจอเรื่องที่เข้ามากระทบความรู้สึกเรา–
ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะเป็นการเล่นดนตรีหรือฟังเพลง เพื่อช่วยปลดปล่อยอารมณ์ แต่ตอนนี้ผมยังตอบไม่ถูกว่าผมมีวิธีที่ตายตัว บางวิธีเคยช่วยเราได้ อาจจะไม่ได้ผลกับเราแล้วในตอนนี้ ก็ยังค้นหาวิธีที่เหมาะกับตัวเองอยู่
จากไอดอลสู่นักแสดงบทบาทที่ได้รับเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง–
ทั้งสองบทบาทมีส่วนที่ผมไม่ถนัด อย่างในพาร์ทการเป็นไอดอล ก็จะมีเรื่องของการเต้นที่ผมยังต้องฝึกหนัก ในส่วนการแสดงผมก็เคยเรียนและตอนนั้นไม่ค่อยชอบมากเท่าไหร่ แต่ ณ ตอนนี้กลายเป็นว่าผมไม่ตั้งคำถามกับตัวเอง ผมเคยตั้งคำถามมากมายกับตัวเอง ‘อันนี้จะทำได้ไหม?’ ‘อันนี้ยากหรือเปล่านะ?’ หรือ ‘ทำสิ่งนี้ต้องทำอะไรเยอะไหมนะ?’ พอได้มาเป็นสมาชิกวงบอยแบนด์อย่าง LYKN และมาเป็นนักแสดงจริงจังในครั้งนี้ ผมก็เลยบอกกับตัวเองให้ปล่อยใจมากขึ้นและสนุกไปกับมัน แต่ส่วนตัวมองว่าต่างกันมากๆ นะ อย่างพาร์ทไอดอล เราคือเพอร์ฟอร์มเมอร์ เราได้แสดงตัวตนความเป็นเราออกไปทางเสียงดนตรีและการเต้น แต่ว่าในการเป็นนักแสดง เราต้องสวมบทบาทและแสดงความเป็นตัวตนของตัวละครนั้นออกไป ซึ่งมันยากพอสมควร ตอนแรกผมก็คิดว่ามันคือศาสตร์เดียวกันนะ แต่พอได้มาลองจริงๆ ก็รู้ได้เลยว่ามันเป็นคนละเรื่องกันไปเลย ก็ยังต้องพึ่งคนมีประสบการณ์ช่วยแนะนำอยู่พอสมควร
ความฝันในวัยเด็กของวิลเลี่ยมคืออะไรบ้าง– ได้ทำมันครบหรือยัง–
ความฝันแรกเลยคืออยากเป็นนักบินอวกาศ มันเท่มากๆ เลยที่ได้ออกไปนอกโลก แล้วก็อยากเป็นนักแข่งรถ รักในความเร็ว (หัวเราะ) แล้วก็มีอยากเป็นนักฟุตบอลทีมชาติด้วย อีกอย่างคือนักแสดง ซึ่งตอนนี้ก็ได้ทำแล้ว อย่างที่บอกไปว่าตอนแรกผมรู้สึกว่ามันยากมากๆ แต่พอได้ลองทำแล้วก็เป็นสิ่งที่ผมสนุกและภูมิใจกับมัน
การเป็นนักร้องอยู่ในความฝันวัยเด็กด้วยไหม–
จริงๆ ไม่ได้มีอยู่ในความฝันตั้งแต่เด็กเลย แต่เราทำมันมาเรื่อยๆ ด้วยแพสชั่น ที่เพิ่มขึ้น ทำมันทุกวัน สะสมมาเรื่อยๆ จนชอบมันไปโดยไม่รู้ตัว จุดเริ่มต้นคือการได้เห็นหน้ากากทุเรียน หรือพี่ทอม อิศราร้องเพลงในรายการ The Mask Singer ตอนนั้นรู้สึกว่า เขาร้องเพลงน่าฟังจังเลย อยากร้องเพลงให้ได้อย่างเขาบ้าง ก็เริ่มจากการร้องเพลงหน้าคอม แล้วก็ขอคุณพ่อเรียนร้องเพลง และก็ต่อยอดมาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากเป็นไอดอลและนักแสดงแล้วมีอะไรที่อยากทำแต่ยังไม่ได้ทำไหม–
อยากทำซิงเกิ้ลที่ได้แสดงความเป็นตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ ในด้านดนตรีผมได้ลองทำมาหลายอย่างพอสมควร ทั้งแนวเพลงบอยแบนด์กับเพื่อนๆ วง LYKN แล้วก็มีร้องเพลงประกอบซีรีส์ ตอนนี้สิ่งที่อยากทำก็คงจะเป็นแนวเพลงที่บ่งบอกตัวตนของเรา นั่นก็คือเพลงร็อก ซึ่งเป็นตัวตนลึกๆ ที่ผมอยากให้ทุกคนได้เห็นและสัมผัสกัน ผ่านทั้งการร้อง เสียงดนตรี แล้วก็จังหวะเพลง
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้หรือเดินทางไปอนาคตได้จะทำอะไร
อยากเดินทางไปในอนาคต อยากไปดูว่าตอนนั้นเราเป็นอย่างไรบ้าง ยังทำอาชีพนี้อยู่ไหม หรือทำอะไรอยู่ เคยมีความคิดอยากย้อนอดีตเหมือนกัน แต่คิดว่าถ้าเราย้อนอดีตไปปัจจุบันก็จะเปลี่ยน ซึ่งเราชอบในปัจจุบันของเรามากอยู่แล้ว ไม่อยากให้อะไรมาเปลี่ยนเราและคนรอบตัวเราในตอนนี้
ได้มาทำงานกับเอสแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
ในตอนแรก เรามองเขาเป็นพาร์ทเนอร์ในการทำงาน มาทำงานแล้วก็จบกันไปในแต่ละวัน แต่พอทำงานกันไปเรื่อยๆ เราก็ได้เจอปัญหาเข้ามาเรื่อยๆ เช่นกัน ทั้งกระแสต่างๆ ในช่วงเปิดตัวซีรีส์ มาจนถึงช่วงที่ถ่ายทำมีความกดดันมากขึ้นจากรอบด้าน ในช่วงแรกทั้งผมและตัวพี่เอสเองก็คิดว่าแต่ละคนเอาอยู่ แต่มันกลายเป็นว่าแต่ละคนก็เริ่มรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ จนเราได้เริ่มพูดคุยกันอย่างจริงจัง จูนตัวเองเข้าหากัน เพื่อหาวิธีรับมือกับแรงกดดันและเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น เรียกว่าถึงจุดที่ไม่มีน้ำตาจะเสียแล้ว และเราก็เลือกที่จะพัฒนาตัวเองให้แข็งแรงและให้ทุกคนได้ชื่นชมผลงานของเรา ผมภูมิใจในตัวผมและพี่เอสมากนะที่มาถึงจุดนี้กันได้ เห็นผมเซนสิทีฟแล้ว พี่เอสเซนสิทีฟกว่าผมขึ้นไปอีก พอได้มาเห็นเขาเข้มแข็งขึ้น เราก็ยิ้มได้ และพร้อมที่จะไปกันต่อ
คู่ของเราถือว่าเป็นหนึ่งในน้องใหม่สำหรับ Love Out Loud Fan Fest 2025: Lovemosphere ถ้าได้ออกแบบโชว์คู่ตัวเองจะออกแบบเป็นโชว์แบบไหน–
อีกหนึ่งสิ่งที่เราเจอตอนที่เราคุยกันมากขึ้น คือเพลงในเพลย์ลิสต์ของเราใกล้กันมาก เป็นเพลงเก่าๆ อย่างของพี่ๆ อัสนี-วสันต์ หรือเพลงของพี่เอ๊ะ-จิรากร และเพลงป๊อป ที่เปิดร้องคลอกันไปในรถอะไรแบบนี้ ตอนนี้มีเลือกไว้พอสมควรว่าเราอยากโชว์เพลงอะไร ก็อยากจะให้โชว์ของเราแสดงความเป็นตัวตน ‘วิลเลี่ยม-เอส’ จริงๆ มาเจอกันครั้งแรก อยากให้ทำความรู้จักกับเรากันก่อน แน่นอนว่าต้องมีพาร์ทที่ตื่นเต้น เรียกเสียงกรี๊ดอยู่แล้ว แต่ในพาร์ทคู่ของเรา ก็อยากจะให้เป็นตัวของเราเองมากที่สุด
ช่างภาพ: Intrachai Watmakawan
บรรณาธิการ: Watcharachai
นักเขียน: Chayanon Chongprasert
Makeup: Wasubat Saninat
ผม: Seeder Pann
ผู้ช่วยถ่ายภาพ: Chudchpong Aumponrat,
Suratham Thepphasut, Leon Xavier Cole
ผู้ช่วยสไตลิสต์: Panithan Prasongsanti