Blog

ฟรีน สโรชา จากนักแสดงดาวรุ่งสู่ไอคอนสาว – L’Officiel Thailand

ฟรีน-สโรชา จันทร์กิมฮะ คือหญิงสาววัย 26 ปีที่นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ฟรีนเริ่มก้าวเท้าเข้ามาในวงการบันเทิงจากเวทีการประกวดมิสทีนไทยแลนด์ปี 2016 เธอผ่านการเป็นนางเอกเอ็มวียอดเกือบ 70 ล้านวิว เป็นนักแสดงตัวเอกในซีรีส์ Girls’ Love เรื่องแรกของไทยอย่าง ‘ทฤษฎีสีชมพู GAP The Series’ ที่มียอดรับชมอย่างล้นหลาม ตามมาด้วยผลงานอีกหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง ‘ปิ่นภักดิ์ The Loyal Pin’ ซึ่งประสบความสำเร็จท่วมท้นไม่แพ้กัน

ด้วยความสามารถและความเป็นตัวของตัวเอง ทำให้ฟรีนเป็นที่รักของผู้ชมมากมาย ฟรีนมียอดการพูดถึงในโซเชียลมีเดียมหาศาล ซึ่งส่งให้ทุกครั้งที่ฟรีนปรากฏตัว ชื่อของเธอจะติดอยู่ในเทรนด์อันดับต้นๆ เสมอ และสร้างมูลค่าทางการตลาดมากมายให้กับทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเธอ เช่นเดียวกับงานด้านแฟชั่น ฟรีนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Maison Valentino เมซงระดับตำนานของโลก และเข้าร่วมงาน Met Gala 2025 ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ของเมซงนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มี
นักแสดงหญิงไทยเข้าร่วมงาน

หากมองจากภายนอก บางคนอาจคิดว่าเธอได้สิ่งเหล่านี้มาอย่างรวดเร็วในวัยเพียง 26 ปี เธอเองก็ยังถ่อมตัวเสมอว่าตนเองเป็นเพียงคน
ตัวเล็กๆ ในวงการนี้ แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ฟรีนผ่านการทำงานในเส้นทางนี้มาเกือบสิบปี ผ่านทั้งคำวิจารณ์ คำชม ความผิดหวัง และการต่อสู้กับตัวเอง
มานับครั้งไม่ถ้วน และวันนี้เรามีโอกาสได้คุยกับฟรีนเกี่ยวกับประสบการณ์เหล่านี้

ขอเริ่มที่โปรเจ็กต์ใหญ่ 4 Elements บ้านวาทินวณิช ที่ฟรีนและเบ็คกี้ 
(รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง) เล่นในตอน The Air เสน่หาวาโย  ตอนนี้การทำงานอยู่ในขั้นไหนแล้ว

“เป็นอีกหนึ่งโปรเจ็กต์ที่คิดว่าแฟนๆ น่าจะรอติดตาม ฟรีนรู้สึกว่าเป็นซีรีส์ในสไตล์ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน ก็เลยรู้สึกเป็นเกียรติมากค่ะที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์ใหญ่แบบนี้ พอรู้ว่าจะได้เล่นเป็น ‘วาโย’ ในตอน The Air ก็ยิ่งตื่นเต้น ตัวละครวาโยเป็นตำรวจ จะมีความลึกลับ ความเท่ ติดเจ้าชู้ กวนๆ นิดหน่อย มีสกิลการปกป้องคนรอบข้างแต่ก็มีพลังบางอย่างในตัว ซึ่งฟรีน
มองว่าเป็นความท้าทายที่น่าสนใจมากๆ ส่วนตัวก็อยากเห็นว่าจะออกมาเป็นยังไง ตอนนี้กระบวนการน่าจะอยู่ในขั้นเขียนบทค่ะ หวังว่าทุกคนจะชอบค่ะ”

นอกจากนี้ก็ยังมีซีรีส์อีกเรื่องให้ติดตามด้วยคือ ปริศนาซากมรณะ เรื่องนี้ดูท้าทายมาก ด้วยคาแรกเตอร์ที่เป็นนักนิติมานุษยวิทยา

“เรื่องนี้ต่างจากทุกบทบาทที่เคยเล่นมาเลยค่ะ คาแรกเตอร์จะมีความนิ่ง มีความรู้เฉพาะทาง และต้องมีสมาธิสูงมาก เพราะเป็นนักนิติมานุษยวิทยา อาชีพนี้ต้องคลี่คลายคดีผ่านหลักฐานจากกระดูกหรือซากมนุษย์ ตอนเตรียมตัวฟรีนก็ได้ไปศึกษากับผู้เชี่ยวชาญจริงๆ ได้เรียนรู้กระบวนการทำงานของคนสายนี้อย่างละเอียด ก็เลยยิ่งรู้สึกเคารพและอยากถ่ายทอดบทนี้ให้ออกมาสมจริงที่สุด และในเรื่องก็จะหนักเรื่องการออกนอกสถานที่ เพราะตัวละครของฟรีนต้องออกไปลุยสถานที่จริง และมีศัพท์วิทยาศาสตร์มากมายที่ต้องจำ เรื่องนี้จะมีความแฟนตาซีนิดหนึ่ง เหมือนเป็นความเชื่อที่เหลือเชื่อ ตอนนี้กระบวนการน่าจะอยู่ในขั้นเขียนบทเหมือนกัน ยังไม่เริ่มเวิร์กช็อปเลยค่ะ 
แต่ฟรีนคิดว่าน่าจะต้องเวิร์กช็อปหนักมาก เพราะต้องอิงความจริงในเชิงทฤษฎีด้วย ต้องทำการบ้านหนักทั้งตัวเองและทีมงานเลยค่ะ”

ตัวละครไหนที่เคยเล่นมาคล้ายคลึงกับฟรีนมากที่สุด

“ฟรีนให้พาย จากเรื่องไรเดอร์ ที่เล่นกับพี่โอ้ (มาริโอ้ เมาเร่อ) พายเป็นคนที่เหมือนจะเข้าถึงยาก ดูข้างนอกเหมือนดุ แต่จริงๆ ใจดีและน่ารัก มีความติดเท่ ฟรีนชอบการแต่งตัวของพายมาก รู้สึกว่าพายกับฟรีนค่อนข้างจะแมตช์กันในเรื่องรสนิยม เรื่องแฟชั่น ฟรีนว่าฟรีนเหมือนพาย แต่บทอื่นก็แทบจะห่างหมดเลย (หัวเราะ) ”

ฟรีนอยู่ในวงการมา 9 ปี มีบทเรียนสำคัญๆ บทไหนบ้างที่ฟรีนได้เรียนรู้จากการทำงานในแวดวงนี้

“การรักษาตัวตนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงค่ะ เราเจอทั้งคำชม คำวิจารณ์ โอกาส การเปลี่ยนแปลง และบางทีก็ความผิดหวัง มันมีทั้งการดิ่งการขึ้น แต่ฟรีนจะพยายามรักษาตัวเองให้พร้อมชนกับทุกโอกาสเสมอ เพราะเราไม่รู้ว่าปีหน้า หรืออีกหลายๆ ปีต่อมาเราจะเจออะไรบ้าง แต่ก่อนเรายังไม่คิดเลยว่าเราจะได้มาทำอะไรมากมายขนาดนี้ และเราต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจในคุณค่าของตัวเองด้วย เราต้องคิดว่าเรามีความสามารถนะ ฟรีนยังได้เรียนรู้ว่าความสำเร็จไม่ได้วัดกันที่กระแสหรือยอดผู้ชมอย่างเดียว แต่มันยังอยู่ที่ว่าเรารู้สึกภูมิใจกับสิ่งที่ทำไหม และเราทำให้คนดูรู้สึกบางอย่างได้หรือเปล่า นั่นคือ
บทเรียนที่สำคัญที่สุดสำหรับฟรีนค่ะ”

ฟรีนพูดหลายครั้งว่า เวลาเจอเรื่องหนักมากๆ เราต้องไม่ลืมตัวเอง ต้องรู้ถึงคุณค่าของตัวเอง ต้องปล่อยให้ตัวเองรู้สึก และต้องให้เวลาเยียวยา อะไรที่ค่อยๆ หล่อหลอมให้ฟรีนรู้สึกแบบนี้ได้

“ฟรีนเรียนรู้กระบวนการแบบนี้ตั้งแต่ช่วงเด็กๆ เพราะฟรีนผ่านหลายเหตุการณ์ในชีวิตที่ต้องยอมรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนฟรีนเข้าใจว่าทุกการกระทำของใครก็ตามต่างมีเหตุผล แล้วฟรีนทำความเข้าใจเหตุผลนั้นได้ไหม เราผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งดีและร้ายมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ พอเราได้อยู่กับตัวเองเยอะๆ มันทำให้เราค่อยๆ เรียนรู้จากอันนั้นอันนี้ไปเรื่อยๆ ฟรีนว่านอกจากตัวเราเองที่จะต้องแข็งแรงมากๆ คนรอบข้างฟรีนก็ซัพพอร์ตในวันที่เราล้มหรือวันที่มันยาก เราโชคดีด้วยที่มีทุกคนอยู่รอบข้าง มีเพื่อน มีครอบครัว มีแฟนคลับ มีหลายครั้งที่เราลืมกอดตัวเอง ฟรีนคิดว่าทุกคนน่าจะมีวันแบบนั้นอยู่บ้างเหมือนกัน แต่พอมีคนอื่นมาคอยกอดเรา
 ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นได้จริงๆ ค่ะ”

ฟรีนมีอะไรเป็นเครื่องมือเยียวยาตัวเอง

“ฟรีนว่าแต่ละคนมีเครื่องมือเป็นของตัวเอง อาจจะมาค้นพบทีหลังหรือรู้ช้าหน่อยก็ไม่ต้องไปเร่งมัน แค่รู้สึกตัวก่อนว่าเรารู้สึกแบบนี้ และฟรีนเป็นคนที่ยอมรับกับมัน เรารู้สึกแบบนี้ เราจะแก้ปัญหานี้ยังไง ถ้าแก้ได้เราก็แก้ แต่ถ้าเรื่องไหนที่ควบคุมไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องแก้ ก็แค่ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น 
แล้วปล่อยให้รู้สึกจนกว่ามันจะเยียวยาได้ด้วยตัวเอง ฟรีนว่ามีหลายวิธีมาก เช่น อ่านหนังสือ ฟังพอดแคสต์ อยู่กับคนรอบตัวที่เรารู้สึกดีใจที่มีเขา และเขาก็มอบความรักให้เราด้วย สำหรับฟรีน ฟรีนอาบน้ำแล้วรู้สึกดีขึ้นนิดหนึ่ง (หัวเราะ) แต่สำหรับบางคนอาจจะอยากนอนไปเลย ไม่ใช่ว่าทุกคนจะใช้วิธีของฟรีนแล้วรู้สึกดีขึ้น ฟรีนเลยอยากบอกว่าค่อยๆ ยอมรับและเรียนรู้กับ
ตัวเองว่าสิ่งไหนที่มันเวิร์กกับเรา ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ ให้มันเป็นไปในแบบที่มันจะเป็นนั่นแหละดีที่สุด ฟรีนคิดว่าเวลาเราเจอเรื่องหนักๆ สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าลืมกลับมาอยู่กับตัวเอง บางคนพยายามวิ่งหนีความรู้สึก หรือบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร แต่ฟรีนกลับเชื่อว่าการปล่อยให้ตัวเองรู้สึกมันคือจุดเริ่มต้นของการเยียวยา เราไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา มันโอเคที่จะอ่อนแอบ้าง แล้วค่อยๆ กอดตัวเองให้แน่นขึ้นในแต่ละวัน”

ช่วงสามปีที่ผ่านมา ฟรีนงานเยอะมาก อยากรู้ว่าพอมีเวลาอยู่กับตัวเอง ฟรีนได้นั่งทบทวนอะไรกับตัวเองบ้างไหม

“ทุกวันค่ะ ถึงแม้จะทำงานเยอะ หรือวันนี้อาจจะไม่ได้อยู่บ้าน ไปต่างประเทศ นอนที่อื่น พอจบวัน ฟรีนจะนั่งทบทวนว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วเราเรียนรู้อะไรจากวันนี้บ้าง ทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีนะคะ เช่นถ้าวันนี้มีเรื่องที่ไม่ค่อยดีเกิดขึ้น เราก็ต้องมาทบทวนว่าอะไรคือสาเหตุ แล้วเราแก้ไขให้มันไม่เกิดขึ้นอีกได้ไหม หรือถ้าวันนี้เป็นวันที่ดีมากๆ ก็มาคิดว่า เราทำอะไรไปบ้างนะที่ส่งผลให้เรารู้สึกดีขนาดนี้ เราจะได้ทำต่อไป มันคือการจบวันที่เรานั่งคิดกับตัวเองว่า
ถ้าวันนี้ไม่โอเค พรุ่งนี้ต้องเปลี่ยน ฟรีนทำแบบนี้ตั้งแต่ช่วงม.ปลาย เพราะก่อนหน้านั้นเรียนดีมาตลอดเลยค่ะ แต่พอม.ปลาย มาเรียนวิทย์-คณิตฯ เราเริ่มเครียด เริ่มรู้สึกว่าแย่แล้ว สงสัยไม่ใช่ทาง ก็เลยเริ่มทบทวนตัวเองใหม่ว่าอะไรคือสิ่งที่เรามีความสุข อะไรคือสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราทำได้บ่อยๆ มันถึงค่อยๆ เข้าใจตัวเองมาเรื่อยๆ ว่าอันนี้คือสิ่งที่เราทำได้และทำได้ดี ตอนแรกฟรีนชอบคิดว่าตัวเองทำได้ทุกอย่างเลย แต่ไม่รู้ว่าดีหรือเปล่า เหมือนเป็ด 
ก็ค่อยๆ เรียนรู้มา และดีใจที่เราเคารพตัวเองว่าวิทย์-คณิตฯ ไม่เหมาะกับเราเท่าไร แล้วเราก็ค่อยเปลี่ยนสาย และบางครั้งก็มีจดไดอารี่บ้าง เวลาเจอเรื่องไม่ดี แล้วนอนไม่หลับ บางทีก็เขียน เหมือนเป็นการระบายให้สมุดฟัง (หัวเราะ) และถ้าเจอคำพูดหรือประโยคที่ชอบ หรือไอเดียที่คิดว่าทำสิ่งนี้
ในอนาคตดีกว่าก็เขียนไว้บ้าง ฟรีนชอบอ่านหนังสือด้วย ชอบอ่านแนวจิตวิทยา แนวให้กำลังใจ บางคำที่เราอ่านเจออาจทำให้เรานึกถึงสถานการณ์บางอย่าง หรือคำนี้มันปลอบเราในบางสถานการณ์ หรือในบางครั้งที่เรา
อยู่คนเดียว การอ่านมันทำให้เราอยู่กับตัวเองได้มากขึ้น และฟรีนก็อยากจะเป็นคนที่ปลอบคนอื่นบ้าง บางทีก็อยากเขียนคำน่ารักๆ ในหัวเราลงไป แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงขนาดเขียนเป็นเล่มนะคะ”

มาเรื่องแฟชั่นกันบ้าง ฟรีนได้รับการแต่งตั้งเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Maison Valentino ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้ทำงานกับเมซงมาก่อนหลายครั้ง  ประทับใจอะไรบ้าง

“ฟรีนรู้สึกว่า Maison Valentino เป็นศิลปะชั้นเยี่ยม มันลึกซึ้งเหมือนงานศิลป์ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง และมีเอกลักษณ์เฉพาะตั้งแต่วันแรกของเมซงจนถึงวันนี้ ทุกชิ้นงานของเมซงเหมือนมีหัวใจ มีเรื่องเล่า และมีความงามที่แสดงออกมาได้โดยไม่ต้องพูดอะไร สิ่งที่ทำให้ฟรีนรู้สึกเข้ากับ Maison Valentino มากคือการเป็นตัวของตัวเองนี่แหละค่ะ ฟรีนไม่ได้มีแค่ด้านเดียวที่แสดงออกมาให้ผู้คนเห็น แต่แค่เป็นตัวของตัวเอง และฟรีนว่า Maison Valentino ก็เป็นแบบนี้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกัน ฟรีนรู้สึกถึงความใส่ใจของทีมงานในทุกขั้นตอน และเมื่อได้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ มันยิ่งพิเศษขึ้นไปอีก เพราะรู้สึกว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่เข้าใจความเป็นตัวเราจริงๆ ฟรีนภูมิใจมากค่ะที่ได้เดินทางร่วมกับเมซง”

ฟรีนไปร่วมงาน Met Gala ครั้งที่ผ่านมาในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Maison Valentino ด้วย ช่วยเล่าประสบการณ์ครั้งนี้ให้ฟังหน่อย

“ตั้งแต่ตอนแรกที่รู้ว่าจะได้ไปร่วมงาน ตอนนั้นถามพี่ผู้จัดการเลยค่ะว่า จริงเหรอ เป็นเราเหรอ เราจะได้ไปจริงๆ เหรอ เพราะเราไม่เคยคิดเลย คนคนหนึ่งอาจจะมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ แต่อันนี้มันเกินความฝันไปมากเลยค่ะ โอกาสแต่ละอย่างที่เราได้รับมันเซอร์เรียลมาก ไม่ค่อยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับเรา เพราะรู้สึกว่าเราตัวเล็กมากในวงการบันเทิงระดับโกลบอล พอหลังจากรู้ว่าได้ไปก็คิดว่าจะไม่ทำให้ใครผิดหวัง รวมถึงตัวเราเองด้วย อยากทำออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะทั้งทีม ตัวฟรีนเอง แฟนคลับเองก็พบประสบการณ์นี้ครั้งแรก ซึ่งงานนั้นคือแฟชั่นระดับโลกจริงๆ เราเคยเห็นมาตั้งนานแล้วว่างานเป็นอย่างไรบ้าง 
คนที่ไปร่วมงานเป็นระดับไอคอนของแบรนด์นั้นๆ โกลบอลสตาร์อยู่ที่นั่น แล้วหนูเป็นใครเนี่ย (หัวเราะ) ฟรีนก็พยายามดูว่ามีอะไรขาดเหลือ มีอะไรที่เราจะเติมเต็มได้อีกบ้าง ฟรีนไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มหนักเลยค่ะ และได้ทำงานกับทีมตั้งแต่เลือกลุคที่จะใส่ มันคือการคัสตอมใหม่หมดเลย เป็นลุคที่เกิดจากแรงบันดาลใจของมิสเตอร์มิเคเล พอคัสตอมเสร็จก็ไปฟิตติ้งที่นิวยอร์กเลย ไปลองดูว่าสองลุคที่ฟรีนเลือกลุคไหนดีกว่ากัน ทุกคนเลือกลุคเดียวกันหมดเลยค่ะ ทีมบอก This is so Freen! (หัวเราะ)

“จริงๆ ฟรีนรู้ตั้งแต่เดือนสองเดือนก่อนงาน แต่ต้องเก็บเงียบมากๆ พอไปถึงนิวยอร์กก็เหมือนเซอร์ไพรส์แฟนคลับ ทุกคนรู้ทีเดียวตอนเราโพสต์รูปเลย แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้บอกว่าจะไป Met Gala นะคะ หลังจากนั้นถึงค่อยลงว่ามีการ์ดเชิญ พอถึงงานจริงก็ตื่นเต้นมากค่ะ เรารู้สึกว่าเราตัวเล็กๆ แล้วเขาให้โอกาสเราไปตรงนั้น เป็นเกียรติมาก ในหัวเหมือนมีคนสองคนตีกัน (หัวเราะ) แต่แบรนด์บอกว่า คุณเป็นตัวเองได้เลย ทุกคนภูมิใจในตัวคุณมาก (ยิ้ม)”

แฟชั่นที่ฟรีนถ่ายวันนี้เป็นคอลเลกชั่น Fall 2025 ฟรีนชอบอะไรใน
คอลเลกชั่นนี้บ้าง

“คอลเลกชั่นนี้ของ Maison Valentino มีพลังบางอย่างที่สัมผัสได้ทันทีค่ะ มันไม่ใช่ความสวยแบบที่ต้องแสดงออกชัดๆ แต่มันเป็นความงามที่ซ่อนอยู่ใน
รายละเอียด ในเนื้อผ้า ในการจับคู่สี ในซิลลูเอตที่ดูเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ สิ่งที่ฟรีนชอบคือมันให้พื้นที่กับความเป็นตัวเอง ใส่แล้วไม่รู้สึกว่าต้องเป็นใคร แต่กลับรู้สึกว่าเป็นตัวเราที่กล้าขึ้น นุ่มนวลขึ้น และมั่นใจในแบบที่เราควรเป็น”

แฟชั่นมีอิทธิพลกับฟรีนอย่างไร

“แฟชั่นสำหรับฟรีนคือการสื่อสารแบบไม่ใช้คำพูด เหมือนเราอยากบอก
เรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับตัวเรา แต่บอกผ่านแฟชั่น ไม่ต้องพูดออกมา 
ในชีวิตประจำวันฟรีนเป็นคนสนุกกับการแต่งตัว เช่นวันนี้เราอยากให้ความรู้สึกสบายๆ หรือสวย หรือเท่ มันคือการบ่งบอกความรู้สึกของวันนั้น มันไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่คือความรู้สึกภายในที่อยากสื่อออกมา และนั่นคือพลังของแฟชั่นที่ฟรีนรักและให้คุณค่ามากค่ะ”

ช่างภาพ: Intrachai Watmakawan

ผู้กำกับแฟชั่น: Daneenart Burakasikorn

นักเขียน: Weeranart chotipuntu

แต่งหน้า: Heanun Boonkarnwanit; ผม: Sittipong Metha; ผู้ช่วยช่างภาพ: Suratham Thepphasut, Supasit Zookawat,

Leon Xavier Cole, Ratchaporn Muangsak; ผู้ช่วยผู้อำนวยการแฟชั่น:

ผู้ประสานงาน: Akeera Sasungnern

อ่านต่อบทความอื่นที่น่าสนใจ

Valentino Garavani Vain: กระเป๋าสุดไอคอนิก กับลุค 3 สไตล์ของแบรนด์แอมบาสเดอร์ ฟรีน สโรชา

อาโป-ณัฐวิญญ์ Piaget Global Ambassador แท็กทีม ฟรีน-สโรชา นำเสนอแคมเปญระดับโลก!

ย้อนชมลุคของ ‘ฟรีน-เบ็คกี้’ ในงานประกาศรางวัล Nine Entertain Awards 2025

ฟรีน สโรชา ติดอันดับ 4 ของผู้สร้างยอด EMV สูงสุดในงาน MET GALA 2025

Related Articles

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Back to top button
pgslot
pg
scatter hitam
slot gacor hari ini
https://stieamkop.ac.id/
scatter hitam
slot gacor hari ini
https://m2r.sumbatimurkab.go.id/
scatter hitam
slot gacor hari ini
https://m2r.pa-magelang.go.id/