Blog

ร่วมค้นหาความทรงจำที่ขาดหายไปกับนิทรรศการ Sometimes I Lost, Sometimes I Found ของศิลปินหญิงชาวไต้หวัน Zito Hsu

หลายคนอาจจะรู้สึกทัชใจกับบางอารมณ์ที่เข้ามากระทบมากเป็นพิเศษ สำหรับ Zito Hsu ศิลปินหญิงชาวไต้หวัน สิ่งที่ทัชใจเธอเป็นพิเศษคือ ‘ความรู้สึกสูญเสีย’ ทั้งในแง่ของสิ่งของและความทรงจำ และความทัชใจนั้นก็ก่อให้เกิดเป็นงานนิทรรศการที่มี Lost and Found LAB. ให้ผู้คนได้เขียนระบายความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งของหรือประสบการณ์ที่หล่นหายในชีวิต และในปีนี้ เธอได้มาจัดแสดงนิทรรศการ Sometimes I Lost, Sometimes I Found ที่รวบรวมความรู้สึกที่เธอได้รับจากงานนิทรรศการก่อนๆ กลายมาเป็นชิ้นงานที่เต็มไปด้วยความทรงจำและความรู้สึกอันท่วมท้น

คุณเล่าให้เราฟังหน่อยได้ไหมว่าแรงบันดาลใจในการทำ Lost and Found LAB. ที่เป็นแรงบันดาลใจมาจนถึงนิทรรศการครั้งนี้คืออะไร

โปรเจ็กต์ Lost and Found LAB. เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ที่ฉันไปเป็นศิลปินพำนักที่ชานเมืองไถหนาน ตอนที่ฉันรีเสิร์ชข้อมูล และเดินทางไปที่ต่างๆ เพื่อสำรวจพื้นที่รอบตัว ไปที่ตึกต่างๆ ก็จะมีแผนก Lost & Found ที่คนจะมาตามหาร่ม และสิ่งของอื่นๆ ฉันคิดว่าช่วงเวลาส่วนใหญ่ที่ฉันได้อ่านหนังสือ หรือดูหนัง ฉันมักจะถูกดึงดูดกับอารมณ์แห่งการสูญเสียอะไรบางอย่าง เรื่องนั้นทัชใจฉันเสมอ ฉันเลยตัดสินใจที่จะจัด… อะไรบางอย่างที่ไม่ใช่แผนก Lost & Found จริงๆ หรอก แต่เป็นความทรงจำที่ทำหล่นหายไป ให้ผู้เข้าร่วมชมได้ส่งโปสการ์ดเขียนถึงสิ่งที่พวกเขาสูญเสีย หรือทำหล่นหายไปค่ะ โดยเปรียบเทียบกับของที่คุณใช้ในชีวิตประจำวัน บางครั้งความทรงจำของคุณในวัยเยาว์ เวลาคุณทำอะไรบางอย่างหายไป แม้ว่าจะเป็นสิ่งเล็กๆ อย่างของเล่นสักชิ้น แต่คุณมีความทรงจำที่แจ่มชัดมากเกี่ยวกับความสูญเสียนั้น คุณจะจำมันได้ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปสิบปียี่ส่ิบปีก็ตาม คุณจะยังสามารถจำเท็กซ์เจอร์ จำสี และจำวิธีที่คุณเล่นกับมันได้อย่างชัดเจน มันเป็นความทรงจำที่แจ่มชัดมาก ฉันเลยสร้างบ้านสีฟ้าหลังเล็กๆ ที่ผู็คนจะสามารถหย่อนความรู้สึกเหล่านั้นที่มีต่อความสูญเสียของรักในวัยเยาว์ได้

แล้วสิ่งนั้นต่อยอดมาเป็นนิทรรศการนี้ได้ยังไง

ตอนแรกที่ภัณฑารักษ์ติดต่อฉันมาครั้งแรก เขาถามว่าทำไมเราถึงไม่ทำ Lost and Found LAB. ที่กรุงเทพฯ กันล่ะ ฉันก็คิดว่าทำอีกครั้งก็ได้นะ แม้ว่าเราจะมาจากต่างประเทศกัน มีคนหลากหลายช่วงอายุที่เข้ามาดูนิทรรศการนี้ แต่ทุกคนจะมีความรู้สึกร่วมเรื่องการสูญเสียของรักเหมือนๆ กันอย่างแน่นอน ฉันเลยพัฒนางานของฉันโดยรวบรวมจดหมายจำนวน 300 ฉบับที่ได้รับมาจากงานนิทรรศการที่แล้วตอนที่เป็นศิลปินพำนักอยู่ และอ่านพวกมันทั้งหมด เกี่ยวกับความรู้สึกของผู้คนในเรื่องการทำของรักหายไป และเอาความรู้สึกเหล่านั้นมาประมวลออกมาเป็นงานของฉัน ฉันวาดความรู้สึกเหล่านั้นลงไป ในนิทรรศการที่จะถึงนี้ก็จะมีรูปพวกนั้นแสดงอยู่ และมีแล็บเดิมตั้งอยู่ คุณสามารถส่งความทรงจำเรื่องความสูญเสียของคุณได้ที่นี่ค่ะ

จดหมายพวกนี้อาจจะกลายมาเป็นนิทรรศการถัดไปของคุณหรือเปล่า

ตอนแรกที่ฉันจัดแล็บนี้ขึ้นมา ฉันเห็นว่าคนที่มาร่วมชมนิทรรศการนั้นมีปฏิกิริยาที่น่าสนใจมากค่ะ ตอนนี้พวกเราใช้โทรศัพท์และอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์กันเป็นประจำใช่ไหมคะ แต่ถ้าคนที่มาดูนิทรรศการของฉันอยากจะส่งข้อความเกี่ยวกับความรู้สึกสูญเสียของตัวเอง พวกเขาจะต้องทำตัวให้ช้าลง และย้อนกลับไปถึงความทรงจำในวัยเยาว์ของพวกเขา

ตอนแรกที่ฉันสร้างแล็บนี้ขึ้นมา ฉันคิดแค่ว่าผู้คนจากประเทศอื่นๆ หรือจังหวัดอื่นๆ ในไต้หวันอาจจะอยากเยี่ยมชมแล็บนี้ ถ้าทำ lab tour ได้ก็น่าจะดี ถ้าฉันได้ทำแล็บนี้เป็นครั้งที่สาม ฉันก็จะเอาความทรงจำที่หล่นหายของผู้คนจากประเทศไทยติดไปด้วยอย่างแน่นอนค่ะ

คุณจะนิยามสไตล์งานศิลปะของคุณว่าอย่างไร

อืม… ฉันคิดว่า… ฉันมักจะถ่ายทอดอารมณ์ต่างๆ ที่แตกต่างหลากหลายลงไปในคาแรกเตอร์ตัวละครของฉันนะคะ เป็นตัวละครเด็กผู้หญิงน่ะค่ะ

ส่วนแรงบันดาลใจของฉันเหรอคะ ฉันไม่มั่นใจนะคะ แต่ฉันโตมากับมังงะและอะนิเมชั่นของประเทศญี่ปุ่น ฉันคิดว่านั่นน่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ในสายเลือดฉันไปแล้วนะคะ ตอนที่ฉันเป็นวัยรุ่น ฉันจะชอบวาดการ์ตูนต่างๆ และหลังจากที่ฉันเข้ามหาวิทยาลัยที่อังกฤษ ฉันอ่านหนังสือภาพสำหรับเด็กมากขึ้น

ส่วนศิลปินที่ให้แรงบันดาลใจให้กับฉันมากๆ ฉันชอบ Maurice Sendak ที่เขียนเรื่อง Where The Wild Things Are เพราะฉันเชื่อว่าเด็กทุกคน และผู้ใหญ่ด้วย ล้วนแต่มี ‘wild things’ อยู่ในตัวกันทั้งนั้น พอพวกเราโตขึ้น ต้องไปโรงเรียน เราก็จะเรียนรู็ที่จะเข้าสังคม ปรับตัว ส่วนตัวฉันชอบ ‘wild things’ มากๆ เลยนะคะ เพราะมันคือตัวตนที่แท้จริงของพวกเรา ตอนนี้ฉันคิดว่าผู้คนชอบสวมหมวกรูปสัตว์ต่างๆ ฉันคิดว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องสไตล์เท่านั้น แต่คนอยากจะแปลงร่างเป็นคนอื่นที่บางครั้งก็ไม่ได้อยากจะเป็นคนอื่นจริงๆ หรอก แต่อยากจะเป็นตัวเองจริงๆ ตัวที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง

ส่วนศิลปินอีกคนชื่อ Květa Pacovská เป็นศิลปินชาวเชค ฉันได้รับแรงบันดาลใจมากจากเธอมากเรื่องการใช้สี เธอเป็นคนที่มองโลกอย่างมีสไตล์มาก เธอใช้สีสันในงานของเธอได้ดีมาก ฉันคิดว่าไม่ใช่เฉพาะเด็กๆ หรอกที่ชอบงานของเธอ ผู้ใหญ่ก็เสพได้เช่นกัน เธอเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อสองปีที่แล้วเองมั้งคะ แต่เธอทำงานหนักจนวินาทีสุดท้าย เธอวาดรูปไว้เยอะมาก ฉันชื่นชมเธอจริงๆ

คุณทำงานกับลูกค้าหลากหลายมากๆ เล่าให้เราฟังหน่อยว่าคุณผสมระหว่างความต้องการของลูกค้าเข้ากับสไตล์ของตัวเองได้อย่างไร

ฉันคิดว่าบางครั้งฉันก็เสียสมดุลได้เช่นกันนะคะ ในฐานะนักวาดภาพประกอบ ฉันสามารถทำอะไรที่ฉันอยากทำอะไรก็ได้ แต่ในหลายๆ ครั้งคุณก็ต้องทำงานร่วมกับบริษัทใหญ่ๆ ฉันเล่าให้ฟังดีกว่าค่ะ มีตอนที่ฉันทำงานร่วมกับ Uniqlo พวกเขาหาศิลปินท้องถิ่นที่จะมาทำลายเสื้อยืดให้เขา เขาบรีฟมาว่าเขาอยากหาอะไรบางอย่างที่นำเสนอความเป็นไทเป และเป็นอนาคตของไทเปด้วยค่ะ

ตอนแรกสุดฉันคิดว่าฉันคงจะวาดชานมไข่มุกนะ (หัวเราะ) แต่พวกเขาก็ร้องว่าโอ้ไม่นะ ไม่เอาชานมไข่มุกอีกแล้วนะ มีแต่คนวาดชานมไข่มุก เราไม่ชอบชานมไข่มุกนะ คือตอนแรก ฉัน ‘เดา’ ใจว่าพวกเขาอยากได้อะไร ฉันเลยจะวาดชานมไข่มุก แต่ในที่สุดแล้ว พวกเขาอยากให้ฉันวาดอะไรบางอย่างออกมาจากใจฉันมากกว่า คือเวลาฉันทำงานร่วมกับแบรนด์อื่นๆ ฉันจะใช้วิธีเดาว่าพวกเขาจะชอบสไตล์แบบไหนกันนะ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ฉันคิดว่าพวกลูกค้าของฉันส่วนใหญ่ต่างก็สนับสนุนให้ฉันทำงานที่ฉันอยากทำจริงๆ มากกว่าค่ะ

ทางออกของฉันก็คือนึกถึงอะไรบางอย่างที่นำเสนอความเป็นไทเปได้ อย่าง MRT อย่างตึกไทเป 101 ฉันใช้สมการแบบ a+b=c ฉันผสมผสาน ‘ความลอยล่อง (floating)’ เข้ากับสิ่งเหล่านั้น เป็นตึกไทเปที่ลอยล่องอยู่ MRT ที่ลอยล่องอยู่ แบบนั้นค่ะ ฉันใช้แนวคิดเหล่านี้สร้างสรรค์คาแรกเตอร์ต่างๆ ขึ้นมา ในท้ายที่สุดแล้ว เวลาทำงานร่วมกับแบรนด์แบบนี้ ฉันจะคิดว่าจะร่วมมือกันอย่างไร มากกว่ามานั่งเดาว่าพวกเขาต้องการอะไรค่ะ เลยคิดว่าในท้ายที่สุดแล้ว การเป็นตัวของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการทำงานแบบนี้ค่ะ

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คุณรู้ตัวว่าคุณกำลังจะเปลี่นแปลงจากการเป็นนักวาดภาพประกอบเป็นศิลปินเต็มตัว

ตอนเริ่มต้น ที่ฉันชอบวาดรูปมากๆ ฉันรู้สึกลำบากใจที่จะเรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบนะคะ เพราะเวลาใช้คำนั้น ก็จะมีคนถามว่า คุณวาดอะไรนะ ขอดูหน่อย ฉันเลยคิดว่าในช่วงที่ฉันเริ่มสบายใจกับการเรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบแล้ว การผันตัวเองไปเป็นศิลปินเต็มตัวดูเป็นเรื่องหนักหนามาก เหมือนมีอะไรมาวางอยู่บนไหล่ตลอดเวลา

ในปี 2019 มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นค่ะ ฉันเจอคนกลุ่มหนึ่งที่สนใจเรื่องการทำอาร์ตทอยมากๆ และพวกเขาเชิญฉันไปร่วมงานนิทรรศการกลุ่มที่ทำอาร์ตทอย โดยเชิญศิลปินราว 20 กว่าคนมาร่วมงาน พวกเราจะวาดคาแรกเตอร์อาร์ตทอยที่เป็นสไตล์ของพวกเรา และสร้างเป็นงาน 3D ตอนนั้นมีคนมาถามแล้วล่ะค่ะว่าฉันคิดจะทำงานของตัวเองเป็น 3D บ้างไหม ฉันก็เลยคิดว่าอยากจะทำอะไรสักอย่าง ก็เลยเริ่มเรียนการปั้นเซรามิก ปั้นเป็นแก้ว จาน และก็คิดว่าจะทำอะไรบางอย่างกับคาแรกเตอร์ที่ฉันสร้างขึ้นมา

และวันหนึ่ง โรงงานผลิตของเล่นก็ติดต่อฉันมาว่าเขาได้ลิขสิทธิ์ The Little Prince มาในมือ และอยากจะได้ผลงานเกี่ยวกับเจ้าชายน้อย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ฉันชอบมาก เขาให้ฉันวาดคาแรกเตอร์เจ้าชายน้อยในแบบของฉัน และเขาก็แนะนำว่าพวกเราน่าจะไปร่วมมือกับแกลเลอรี่ จะได้พรินท์อาร์ตเวิร์คของคุณ และโชว์ร่วมกับอาร์ตทอยเจ้าชายน้อยไปเลย นั่นเป็นวันที่ฉันเริ่มต้นทำงานร่วมกับแกลเลอรี่ นั่นคือจุดเปลี่ยนของฉันเลยค่ะ ฉันเป็นคนขี้อาย ฉันไม่รู้ว่าจะหอบงานไปหาแกลเลอรี่และบอกว่า มาจัดนิทรรศการกันเถอะ ได้ด้วยตัวเอง นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันร่วมงานกับแกลเลอรี่ค่ะ

บอกกระบวนการการทำงานนิทรรศการหนึ่งๆ หน่อย ตั้งแต่เริ่มได้รับข้อเสนอจากภัณฑารักษ์เลย

ฉันคิดว่าตั้งแต่แรกเลย ฉันจะเริ่มจากการหาประโยคหนึ่งที่ทัชใจฉันมากๆ และก็เริ่มจากการร่างภาพแบบเร็วๆ คร่าวๆ ลงไปในสมุดของฉัน และค่อยๆ พัฒนามาเป็นงาน 3D หรืองานวาด

ตอนที่ตอนที่ฉันทำงานร่วมกับภัณฑารักษ์จากประเทศไทย พวกเขาไว้ใจฉันมาก เขาให้ฉันทำอะไรก็ได้ที่ฉันอยากจะทำ ฉันก็คิดจะทำอะไรต่างๆ ที่ฉันอยากจะลองทำดูบ้าง ฉันก็ทำแผ่นอะคริลิกใสติดตรงทางเข้า และคนจะได้เดินเข้ามาผ่านแผ่นตัดนั้น ที่ฉันตัดเป็นรูปแมวของฉันเอง ซึ่งตอนที่พวกมันอายุได้ห้าเดือน มันก็สลัดฟันน้ำนม ฉันคิดว่าฟันน้ำนมแมวมีรูปร่างที่พิเศษ แตกต่างจากฟันน้ำนมของคนอย่างสิ้นเชิง มันดูเหมือนเพชรสวยๆ หรือไม่ก็หินสวยๆ สักก้อน ฉันคิดว่ามันคือของขวัญจากแมวของฉันค่ะ ฉันเลยสะสมฟันน้ำนมแมวมาตลอด มีทั้ง 7 รูปแบบ และเอามาทำเป็นทางเข้าอะคริลิค

บางครั้งแรงบันดาลใจของฉันก็เก็บสะสมมาจากประสบการณ์ชีวิตของฉันที่ทัชใจฉัน ฉันทำให้มันใหญ่ขึ้น คนจะได้คาดเดากันว่ามันคือรูปร่างของอะไรกันนะ นั่นมันคือฟันน้ำนมแมวนี่นา ฉันเป็นเศรษฐีฟันน้ำนมแมวเลยนะ เพราะฉันมีตั้ง 7 ซี่แน่ะ สิ่งที่ทำให้ระลึกถึงการสูญเสียบางอย่างมันไม่ใช่เป็นเรื่องเศร้าอย่างเดียวนะคะ เหมือนฟันน้ำนมที่แมวเสียไป ก็คือการเติบโตและมีฟันแท้ขึ้นมาแทนที่

คุณมองตัวเองในฐานะศิลปินในอีก 10 ปีไว้อย่างไรบ้าง

จริงๆ แล้วฉันไม่ได้มีแรงผลักดันที่จะเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่อะไรแบบนั้นหรอกค่ะ ในอีกสิบปีฉันไม่อยากจะอยู่ในเมืองที่วุ่นวายอย่างไทเปอีกแล้วค่ะ พอกับกรุงเทพฯ เลยใช่ไหมคะ ที่ที่ผู้คนเดินเร็ว พูดก็เร็ว ในอีกสิบปี ฉันอยากจะย้ายไปอยู่ชานเมือง มีสตูดิโอที่ทำงานเซรามิกของตัวเองได้ตามใจ อยู่กับแมวของฉัน จะได้โฟกัสกับงานตัวเองได้เต็มที่ค่ะ เพราะเวลาฉันโฟกัสกับงานเซรามิก ฉันตั้งสมาธิได้มากๆ เลยค่ะ คือฉันชอบชีวิตของฉันตอนนี้นะคะ แต่ฉันก็ต้องคอยแอ็คทีฟใน social media ต้องอัพเดทผลงานของทั้งตัวเอง และดูคนอื่นๆ ไปด้วย ฉันต้องรู้เรื่องราวต่างๆ ของโลกภายนอก ในอีกสิบปี ฉันหวังว่าฉันจะได้สำรวจโลกภายในตัวของฉันให้มากขึ้น จะได้หาความสงบสุขกับตัวเองได้เสียที อยากย้ายออกไปจากเมืองใหญ่ค่ะ นั่นเป็นความฝันจริงๆ ของฉันเลยค่ะ

ทำงานกับภัณฑารักษ์ชาวไทยเป็นอย่างไรบ้าง

ครั้งนี้เป็นงานเดี่ยวครั้งแรกของฉันในประเทศไทย แต่ฉันเคยมีงานกลุ่มมาแล้วสองครั้งค่ะ ฉันรู้สึกดีมากๆ เลยนะคะ ได้คอนเนกชั่นกับศิลปินไทยหลายๆ คนที่ทำงานเจ๋งๆ ทั้งนั้นเลย ฉันชอบทำงานกับคนไทยเพราะทุกคนรู้ว่าตัวเองชอบทำอะไร และมีแพสชั่นแรงกล้ามากค่ะ แต่ในระหว่างการทำงาน ไม่มีใครกดดันฉันเลยค่ะ ให้ฉันออกไอเดียที่อยากทำเต็มที่ และค่อยมาหาทางลงว่าจะทำให้สิ่งที่ฉันต้องการออกมาเป็นอย่างไร ฉันคิดว่ามันค่อนข้างต่างจากไทเป ที่ไทเปเราก็มีสถานที่จัดนิทรรศการใหญ่ๆ เช่นกันนะคะ แต่พวกเขาอยากจะให้ฉันทำอะไรเล็กๆ กว่า แต่การทำงานกับ River City Bangkok พวกเขาอยากให้ฉันทำอะไรใหญ๋ๆ ให้อิสระฉันคิดอะไรก็ได้ที่ฉันอยากจะทำเสมอ พวกเขาสนับสนุนฉันมากจริงๆ ค่ะ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันชอบที่จะร่วมงานกับคิวเรเตอร์ชาวไทยมากๆ ค่ะ ฉันสามารถทำอะไรก็ได้ที่ไม่เคยได้ทำในไทเปเลยค่ะ

นิทรรศการ Sometimes I Lost, Sometimes I Found จัดแสดงที่ RCB Galleria 2 ชั้น 2 River City Bangkok ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม – 23 กุมภาพันธ์ 2025

Related Articles

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Back to top button
pgslot
pg