หนึ่งตัวตนในหลากหลายบทบาท มัจฉา โมซิมันน์ กับงานดนตรีและแฟชั่นรวมถึงความฝันในการใช้ชีวิตให้ช้าลง – L’Officiel Thailand
ในวันอาทิตย์ช่วงต้นเดือนธันวาคม กองถ่ายแฟชั่นของลอฟฟีซียลมีนัดกันแต่เช้าเพื่อถ่ายแฟชั่นเซ็ตปก เมื่อเรามาถึงก็พบว่านางแบบสาวสวยมานั่งรอที่กองอยู่แล้วด้วยแววตาที่สดใส มัจฉา โมซิมันน์ นักร้องลูกครึ่งไทย-สวิตเซอร์แลนด์ จากค่าย White Fox GMM Grammy เจ้าของซิงเกิลฮิตล่าสุด ‘อย่าคิดแทนฉัน’ ที่เปิดตัวมาไม่กี่เดือนก็มียอดวิวหลักล้านบนยูทูบ ความเก๋คือเธอมีส่วนร่วมในเบื้องหลังการทำเพลงแทบทุกขั้นตอน โดยเฉพาะทิศทางด้านวิชวลที่บ่งบอกความเป็นตัวเองมากๆ เพราะอีกด้านหนึ่งเธอมีความหลงใหลด้านแฟชั่นมากถึงขั้นออกแบบเสื้อผ้าและทำแบรนด์ของตัวเองถึงสองแบรนด์ ได้แก่ Cha Collective และ Saneya โดยดูแลธุรกิจและการตลาดเองแบบครบวงจร อะไรทำให้คนรุ่นใหม่วัยเพียง 25 ปี อย่างมัจฉามีพลังเหลือล้นที่จะทำอะไรได้มากมาย แถมดูจะประสบความสำเร็จไปซะทุกอย่างด้วย เราเดินเข้ามาทักทายเธอและเริ่มต้นบทสนทนากัน
เล่าเรื่องวัยเด็กของมัจฉาให้ฟังหน่อยค่ะ
“ฉาเกิดและโตที่เมืองไทยนะคะ คุณพ่อเป็นคนสวิส ฉาเลยได้เข้าเรียนโรงเรียนที่เป็น German-speaking school พูดภาษาเยอรมันและฝรั่งเศสได้ รวมถึงภาษาอังกฤษและภาษาไทย ครอบครัวเราใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แต่ช่วงซัมเมอร์ของทุกปีก็จะไปหาคุณพ่อที่สวิสค่ะ ไปเจอคุณปู่คุณย่าด้วย ฉาเป็นคนที่ชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็กค่ะ ตื่นเช้าไปเรียนก็จะร้องเพลงในห้องน้ำ ทานข้าวเสร็จขึ้นรถ ก็ร้องเพลง เราชอบฟังเพลง ชอบดูมิวสิกวิดีโอ และได้แรงบันดาลใจจากศิลปินหลายๆ คน แต่ไม่ได้ฝันว่าวันหนึ่งจะมาเป็นนักร้องเลย เพราะตอนเด็กฉาขี้อายมาก เงียบมาก ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแม้แต่จะยกมือพูดในห้องเรียน ได้แต่ร้องให้คุณแม่ฟังอย่างเดียว”
จริงๆ แล้วก่อนจะมาเป็นนักร้อง ฉาเริ่มต้นงานในวงการบันเทิงด้วยอาชีพนางแบบก่อนใช่ไหมคะ
“ใช่ค่ะ ฉาเริ่มถ่ายแบบ เดินแบบ ตั้งแต่อายุ 13-14 ตอนนั้นไปประกวด Young Model 2012 เป็นปีเดียวกับที่จีจี้ (ศศินีย์ ยังยิ่งยง) ประกวด Thai Supermodel เพราะเขาโตกว่า อายุ 15 แล้ว แต่ฉายัง 13 เราก็ได้ไปแคสติ้ง ไปเจอป้าตือ และได้โอกาสไปทำงานนางแบบ สมัยก่อนมีงานเดินแบบเยอะมาก อีเวนต์ตามห้างอะไรแบบนี้ แฟชั่นวีค แล้วก็งานถ่ายแบบนิตยสาร ช่วงนั้นแฟชั่นกำลังบูมและฉาได้ถ่ายหนังสือเยอะมาก จากนั้นก็ได้เล่นละคร เล่นซีรีส์ จนกระทั่งได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ให้ไปออดิชั่นเป็นนักร้อง ฉาก็แค่คว้าโอกาสไว้และลองทำให้ดีที่สุด จนได้มาเป็นศิลปินคนแรกของ White Fox จนมาถึงตอนนี้ก็ 4 ปีแล้วค่ะ”
ทำไมถึงหลงใหลแฟชั่นและดนตรี
“แฟชั่นสำหรับฉา คือการแสดงออกตัวตน บุคลิก ว่าเราเป็นใคร ชอบหรือไม่ชอบอะไร มีอะไรข้างในที่อยากแสดงออกมา ฉาชอบแต่งตัว ช่วงแรกๆ ที่ได้ถ่ายแฟชั่น มันสนุกมากค่ะ เพราะการทำงานยุคนั้นมันมีความครีเอทีฟมากๆ ทุกครั้งที่มากองก็ยังคงเป็นสิ่งที่ฉาเอ็นจอย สนุกที่ได้พรีเซนต์เสื้อผ้าในแต่ละแบรนด์
“ขณะที่งานดนตรี สิ่งสำคัญคือเราจะต้องมีสไตล์เป็นของตัวเองแบบ 100% ค่ะ เพื่อจะสื่อสารสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา ทั้งเนื้อหาของเพลง ดนตรี ไปจนถึงคาแร็กเตอร์ การแต่งตัว ฉามีส่วนร่วมในทุกอย่าง เราอยากให้ทุกองค์ประกอบออกมาลงตัว ไม่ใช่แค่เพลงที่โฟกัสแต่อยากให้ภาพต้องออกมาสวยด้วย เพลงของฉาเป็นสองภาษา ทั้งไทยและอังกฤษ เป็นแนวป็อปแดนซ์ ผสม R&B บ้าง มีกลิ่นอายจากยุค 1990s-2000s เพราะฉาว่าสไตล์ของยุคนั้นมีซิกเนเจอร์ที่น่าสนใจ มีความคูล เซ็กซี่แต่เท่ ทั้งเพลงและแฟชั่นเสื้อผ้าที่เราทำ ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากยุคนั้น”
เคยจินตนาการว่าตัวเองย้อนไปอยู่ในยุค 1990s-2000s ไหม
“ถ้าฉาไปอยู่ในยุคนั้นคงสนุกเพราะยังไม่มีอินเตอร์เน็ต (หัวเราะ) ก็น่าจะมีความอิสระในใจมากๆ ไม่ต้องมากังวลเรื่องโพสโซเชียล แค่เอนจอยชีวิต ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันและสิ่งตรงหน้าซึ่งมันเป็นสิ่งที่ยากสำหรับตอนนี้ ฉาทำงานในโทรศัพท์ทั้งวัน จนไม่สามารถเอนจอยปัจจุบันได้ แต่ฉาโชคดีที่ตอนฉาเด็กๆ เรายังได้เอนจอยกับการเล่นของเล่นจริงๆ อยู่บ้าง เพราะน้องของฉา ตอนนี้เขาอายุ 12 เขาเกิดมามันก็มีไอแพดแล้ว และเทคโนโลยีพวกนี้ มันง่ายมากที่เราจะติดกับมันทั้งวัน”
ปกติเราจะคุ้นเคยกับมู้ดของฉาในเพลงเร็ว แต่ซิงเกิลล่าสุดที่ออกมา ‘อย่าคิดแทนฉัน’ เป็นเพลงช้า
“เพลงนี้ปล่อยมาตั้งแต่ช่วงประมาณกลางปี 2024 ก็เป็น R&B เลยค่ะ ฉาว่ามันก็ต้องมีการบาลานซ์นะ เราทำเพลงเร็วมาเยอะแล้ว ก็ต้องมีเพลงช้าบ้าง และฟีดแบ็กก็ดีค่ะ คนชอบเพลงนี้ค่ะ เหมือนเป็นมุมที่คนไม่ค่อยเห็น เนื้อหามันเกี่ยวกับการบอกคนที่เรารักว่าให้คุยกันแบบเปิดใจ อย่าคิดแทนกัน เพราะบางทีเกิดความเข้าใจผิดกันได้ เป็นเพลงที่อีโมชั่นมากขึ้นจากที่เคยทำมา ความพิเศษของเพลงนี้คือเราไปถ่ายมิวสิกวิดีโอกันที่ญี่ปุ่น ซึ่งก็ถือเป็นครั้งแรกที่ฉาไปญี่ปุ่นด้วย มู้ดก็จะมีกลิ่นอายของยุคปี 2000s สนุกมากๆ ค่ะ แต่ปีหน้านี้ เราก็จะมีซิงเกิลใหม่ช่วงต้นปี ก็จะกลับไปเป็นเพลงเต้นแล้ว ฝากติดตามด้วยนะคะ”
ถามถึงในพาร์ตการทำธุรกิจบ้าง ยากไหมกับการทำแบรนด์เสื้อผ้าและอยู่ในโลกของธุรกิจออนไลน์ซึ่งมีการแข่งขันสูงมาก
“ฉาชอบวาดรูปและชอบแฟชั่นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ฉาได้ไปเรียนด้านแฟชั่นดีไซน์ที่ Raffles International College แล้วก็เริ่มทำแบรนด์แรก Cha Collective หลังจบไฮสคูล ตอนอายุ 19 ถึงตอนนี้ก็ 7 ปีแล้วค่ะ เสื้อผ้าที่เราทำคือเสื้อผ้าที่เราอยากใส่ ก็จะเป็นสไตล์ผู้หญิงๆ หน่อย มีรายละเอียดการตกแต่ง (embellishment) ทุกครั้งที่ทำคอลเลกชั่น ฉาก็จะคิดถึงแรงบันดาลใจ สมมติว่าซัมเมอร์ปีนี้ฉาจะไปเที่ยวไหน เช่น ไปโปรตุเกส ฝรั่งเศสทางใต้ หรือโมร็อกโก เราก็คิดว่าเราอยากใส่อะไรแบบไหน ซึ่งเสื้อผ้ามันก็จะค่อนข้างเอจจี้ เซ็กซี่เบาๆ เช่นคอร์เซ็ต กระโปรง มีความหรูหราในตัว
“อีกแบรนด์หนึ่งคือ ซาเนญา (Sanēa) เป็นแบรนด์ที่ฉาทำกับแฟนมาได้ 4-5 ปีแล้ว ตอนแรกทำมาเป็นสปอร์ตส์แวร์เพราะเราชอบออกกำลังกาย แต่พอทำไปเรื่อยๆ รู้สึกว่ามันยากมากที่จะทำให้แบรนด์แตกต่างและโดดเด่น มันต่อยอดไม่ได้เยอะ เริ่มไม่สนุก ล่าสุดเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ก็เลยรีแบรนด์มาทำสตรีทแวร์ทั้งเสื้อผ้าผู้หญิงและผู้ชาย และด้วยความที่แบรนด์วิชวลมีความเป็นตะวันออก เราก็เลยเริ่มคิดว่าทำไมไม่ลองเอาผ้าไหมไทยเข้ามาใช้ คือใส่แรงบันดาลใจจากความเป็นไทย แต่ทำไวบ์เป็นแบบ Ibiza Party People สีสันสดใส มีความเป็นรีสอร์ตแวร์ ชื่อแบรนด์ซาเนญามาจากคำว่าเสน่ห์ ฉาเลยคิดว่าพอเอาผ้าไหมไทยมาทำให้ดูทันสมัย มันก็ทำให้คอนเซ็ปต์แบรนด์เมคเซนส์ค่ะ
“กลยุทธ์การทำธุรกิจออนไลน์ก็ยังเป็นสิ่งที่ฉาและทีมต้องคิดกันอยู่เสมอค่ะ ความท้าทายของการทำแบรนดิ้งคือ ทุกวันนี้แบรนด์เสื้อผ้าเยอะมาก ทำยังไงให้แบรนด์เราโดดเด่น ฉาว่าเราแค่ทำในสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่ฉาคิดว่ามันสวย นำเสนอมุมมองของเรา ฉาว่ามันน่าจะเวิร์ก ซึ่งทุกวันนี้ฟีดแบ็กก็ถือว่ามันไปได้ดีแบบที่เราไม่ได้คาดหวังในตอนแรก คือพอแบรนด์เราเริ่มมีคนเห็นและจดจำได้ มันก็จะเริ่มเติบโตของมันไปได้ นอกจากการส่งไปให้เพื่อนๆ อินฟลูฯ ใส่แล้ว เดี๋ยวนี้สิ่งจำเป็นก็คือต้องยิงแอดค่ะ มันช่วยได้เยอะ”
ไลฟ์สไตล์ในหนึ่งวันของฉาเป็นอย่างไร
“แล้วแต่ตารางเวลาในแต่ละวันค่ะ ว่าวันนั้นต้องทำอะไรบ้าง มีถ่ายแบบ มีงานเพลง หรือวันนี้มีถ่ายคอนเทนต์ ที่จริงเราก็ต้องทำงานเกือบตลอดเวลา วันอาทิตย์จะเป็นวันเดียวที่ฉาพัก เราต้องแบ่งเวลาและจัดเรียงความสำคัญ ส่วนใหญ่คือตื่นเช้ามา ถ้าวันนั้นไม่ได้มีออกไปทำงานดนตรีหรือถ่ายงานอะไร ก็จะนั่งทำงานแบรนด์เสื้อผ้าที่บ้าน มีไปยิม แล้วก็มาถ่ายคอนเทนต์เพจ Diet Society Thailand เพื่อให้คำแนะนำด้านการดูแลสุขภาพและเปิดออนไลน์โค้ชชิ่งด้วย”
อะไรคือแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เรามีพลังในการทำงานหลายอย่างขนาดนี้
“ตอนเด็กเรามีความอยากทำโน่นทำนี่หลายอย่าง แล้วตอนนี้เราทำมาเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่ง มันหยุดไม่ได้แล้ว มันก็วุ่นวายอยู่ค่ะ เพราะพอเราทำหลายอย่างมันยากที่จะโฟกัสอันใดอันหนึ่งแล้วทำอันนั้นให้เต็มที่ เราต้องแบ่งเวลาให้ดีมากๆ มันก็เหนื่อยนะคะ ถ้าย้อนกลับไปก็คิดว่าน่าจะทำแค่อย่างเดียวหรือสองอย่างพอ จะได้ไม่ต้องคิดเยอะขนาดนี้ (หัวเราะ) แต่ก็พยายามคิดว่าเราทำงานหนักในตอนเด็ก พอโตขึ้นกว่านี้ก็จะได้รีแล็กซ์ได้”
สิ่งที่ฮีลใจเวลาเหนื่อย
“เมื่อก่อนฉาจะเครียดง่ายมาก ในหนึ่งวันจะต้องทำนู่นนี่ให้เสร็จให้ได้ แต่ตอนนี้พยายามหาวิธีที่จะเอนจอยไปกับการทำงาน เอนจอยปัจจุบัน อยู่กับสิ่งที่ทำตรงหน้า ห้ามคิดล่วงหน้า ไม่งั้นมันจะปวดหัว ถ้าไม่แฮปปี้ก็จะไปใช้เวลากับเพื่อน ครอบครัว แฟน หรืออย่างช่วงพักกินข้าวก็จะดู Netflix ไปด้วย เป็นโมเมนต์เล็กๆ เพื่อให้ตัวเองเฟรช แต่ทุกปีจะเดินทางไปเที่ยวอยู่แล้ว แบบตั้งตารอเลย และจะสนุกกับการแพลนทุกอย่างในทริปแต่ละปี”
สถานที่ท่องเที่ยวสุดโปรด
“ส่วนใหญ่ฉาจะไปยุโรปช่วงซัมเมอร์ เพราะต้องกลับไปหาคุณพ่อที่สวิสทุกปีอยู่แล้ว เขาอยู่ที่นู่นกับคุณปู่คุณย่า ชอบหลายที่เลยค่ะ ที่ไปบ่อยก็สเปน เมืองโปรดเลยคือบาร์เซโลนา แต่ส่วนใหญ่จะไปเมืองชายหาด กรีซ อิตาลี ปีที่แล้วไปโปรตุเกสครั้งแรก แล้วก็ไปฝรั่งเศสทางใต้ โมนาโก
“ถ้าถามถึงบีชที่ชอบที่สุดคงเป็นที่กรีซกับเกาะซาร์ดิเนียของอิตาลี สวยมากๆ น้ำใส คือจริงๆ ทะเลเมืองไทยก็สวยมากนะคะ แต่มันคนละฟีล ทะเลที่ไทยจะมีความเขียวมากกว่าเพราะเป็นทรอปิคัล แต่ของยุโรปจะเป็นสีฟ้าๆ เลย ประทับใจมากๆ โดยเฉพาะเวลาล่องเรือออกไปตามเกาะเล็กๆ”
เป้าหมายในการทำงานและใช้ชีวิต
“ถือว่าตอนนี้ฉาก็ทำมาหลายอย่าง และฉารู้สึกเอนจอยกับงานทุกอย่างโดยเฉพาะงานเพลงกับแฟชั่น รู้สึกว่ามันไปด้วยกันและเสริมกันได้ งานแสดงก็ชอบนะคะ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะได้เล่นซีรีส์อีก การทำงานตรงนี้ทำให้เราได้พัฒนาบุคลิกและคาแร็กเตอร์ของเรา เสริมความมั่นใจ ช่วยให้เราเติบโตและเข้าใจหลายอย่างมากขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น จากคนที่เป็นอินโทรเวิร์ต ทุกวันนี้ก็ยังอินโทรเวิร์ตอยู่แหละ (หัวเราะ) แต่เรารู้จักปรับตัว พอเวลาเพอร์ฟอร์ม เราได้กลายเป็นอีกเวอร์ชั่นของตัวเอง ทุกวันนี้ฉาพยายามบอกตัวเองตลอดว่า ‘One thing at a time’ เพราะพอเราทำหลายอย่าง มันทำให้เราเครียดได้ง่าย ยิ่งในยุคนี้ที่ทุกอย่างไปเร็วมากๆ ไม่ได้สโลว์ไลฟ์เหมือนยุคก่อน เราก็จะพยายามให้ตัวเองอยู่กับปัจจุบันที่สุด การติดโทรศัพท์คือปัญหาใหญ่ของฉา ก็จะพาตัวเองไปอยู่กับธรรมชาติให้มากขึ้นค่ะ”
ช่างภาพ: Thanut Treeschanchacha
ผู้กำกับแฟชั่น: Daneenart Burakasikorn
นักเขียน: Ananyawan Thongboonrod
Makeup: Phuwadon DeChphrom
ผม: Rinrada Yimlamai
ผู้ช่วยช่างภาพ: Wanchai Arreeruk, Piriyapong Prommounwai
ผู้ช่วยสไตลิสต์: Jetwat Viriyarat, Noppamas Khomsom
ผู้ผลิต: Pimpilai Boonjong