ออกเดินทางสู่ภูเก็ต สัมผัสความอัศจรรย์ของคอลเลกชั่น Treasure Island by Van Cleef & Arpels

ออกเดินทางสู่ภูเก็ต ร่วมสัมผัสคอลเลกชั่น Treasure Island by Van Cleef & Arpels ซึ่งเผยโฉมในระดับภูมิภาคเป็นครั้งแรก
หลังจากนำเสนอเรื่องราวของการเปิดตัวไฮจิวเวลรี่คอลเลกชั่น Treasure Island ที่ไมอามี ประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว ครั้งนี้ถึงคิวของจังหวัดภูเก็ตที่ทางเมซงเลือกจัดงานอีเวนต์สุดเอ็กซ์คลูซีฟระดับภูมิภาค ณ โรงแรม Trisara โดยพาทุกคนออกเดินไปบนหาดทรายสีทอง มุ่งไปยังป่าเขียวขจีซึ่งทอดยาวอยู่เบื้องหน้าเป็นจุดเริ่มต้นการผจญภัย สู่อาณาจักรของเหล่าสรรพสัตว์เมืองร้อน ที่ซ่อนเรื่องราวแห่งธรรมชาติและความมหัศจรรย์ของเกาะสมบัติ
หลังจากเคยจัดงานเปิดตัวไฮจิวเวลรี่ Treasures of Ruby ที่กรุงเทพมาแล้ว ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สองที่ประเทศไทยได้ต้อนรับลูกค้าและสื่อมวลชนในการร่วมเดินทางมาสัมผัสกับประสบการณ์สุดประทับใจจากกิจกรรมมากมาย นับตั้งแต่ล่องเรือ กาล่าดินเนอร์ทะเล ตลอดจนการเสวนาเกี่ยวกับเรื่องราวเกี่ยวกับโจรสลัด ประวัติศาสตร์กล่องสมบัติราชวงศ์ และแนวคิดการสร้างสรรค์คอลเลกชั่นนี้ ก่อนจะได้ยลโฉมคอลเลกชั่น Treasure Island ของจริงอย่างใกล้ชิดซึ่งมีผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่อยู่จำนวนหนึ่ง พร้อมด้วยผลงานในคอลเลกชั่นอื่นๆ และผลงานเฮอริเทจด้วย
เข็มกลัด Ara Saphir Jaun ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากนกแก้งมาคอว์ซึ่งพบได้ในป่าเขตร้อนของอเมริกาใต้ และยังเป็นการทริบิวต์ให้กับ Captain Flint นกแก้วซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของโจรสลัด Long John Silver ในเรื่อง Treasure Island ทั้งยังเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของเมซงที่สร้างสรรค์เข็มกลัดนกแก้วมาตั้งแต่ยุค 1980s ตัวเรือนเยลโลว์โกลด์และไวท์โกลด์ประดับเพชร มรกต แซฟไฟร์ สเปสซาไทต์ และที่เป็นไฮไลต์คือเยลโลว์แซฟไฟร์ศรีลังกาทรงคุชชั่นหนึ่งเม็ดหนัก 4.67 กะรัตที่ห้อยอยู่ใต้เท้านกแก้ว
ต่างหู Mousqueton Précieux เป็น pendant earrings ซึ่งเป็นสไตล์ที่อยู่คู่เมซงมาเนิ่นนาน โดยรูปทรงชิ้นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากตัวล็อกใบพัดเรือ ดีไซน์เป็นเชือกทองล้อมแผงอัญมณีหลากสีสัน ซึ่งประกอบด้วยมรกต ทับทิม แซฟไฟร์ และเพชร
สร้อยคอ Récif corallien (Coral reef) ได้แรงบันดาลใจมาจากความงามของปะการัง ดีไซน์ของสร้อยทำให้นึกถึงงานคราฟต์จากปะการังของเกาะซิซิเลียนในสมัยศตวรรษที่ 17 และห้องบอลรูมของ Palazzo Brandolini ในเวนิซสมัยศตวรรษที่ 12 ซึ่งออกแบบโดย Tony Duquette และ Hutton Wilkinson ตัวเรือนไวท์โกลด์ของสร้อยประดับโมทีฟโรสโกลด์ขัดเงาเป็นรูปทรงปะการังด้วยเทคนิค “stop-off technique” ตรงกลางสร้อยดีไซน์เป็นโครงสร้างประการังซับซ้อน ประดับทับทิมหลากขนาดหลากเทคนิค กระทั่งตัวล็อกที่อยู่ด้านหลังก็ยังดีไซน์แบบซ่อนตัวล็อกและตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง
ในครั้งนี้ เรายังได้มีโอกาสพูดคุยกับ Julie Cody Medina ประธานของ Van Cleef & Arpsls ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกถึงการเดินทางมาจัดงานที่ไทยถึงเหตุผลเบื้องหลังของการจัดงานที่ประเทศไทย ตลอดจนผลงานไฮไลต์ที่น่าสนใจ
-ทางเมซงคาดหวังมาจัดแสดงคอลเลกชั่นที่ภูเก็ต
“เพราะคอลเลกชั่น Treasure Island ได้แรงบันดาลใจมาจากวรรณกรรมของ Robert Louis Stevenson ซึ่งเป็นผลงานคลาสสิก เมื่อดูองค์ประกอบของเรื่องราวของคอลเลกชั่นนี้ ก็จะเห็นว่ามันเหมาะมากเลยที่จะเลือกที่จัดงานแรกในระดับภูมิภาคที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นเดสติเนชั่นสำคัญ มีสภาพเป็นเกาะและมีประวัติศาสตร์ยาวนาน และหากเราอยากเจาะตลาดแถบนี้ มันเหมือนยามที่เราได้อัญมณีมา แล้วมันเหมาะที่จะอยู่ ณ ตำแหน่งนั้นบนสร้อยเส้นนั้นเท่านั้นน่ะค่ะ ไม่มีที่ไหนเหมาะเท่าที่นี่แล้ว”
-ผลงานเด่นและคราฟต์แมนชิปของคอลเลกชั่นนี้ที่คุณว่าน่าสนใจ
“ด้วยแรงบันดาลใจของคอลเลกชั่นนี้ มันเหมือนพาเรากลับไปยังวัยเด็ก ไม่ว่าเราจะโตมาที่ไหนในโลก เรามักเติบโตมากับเรื่องทรัพย์สมบัติ เล่นเป็นโจรสลัดและ ออกตามล่าหาขุมสมบัติ Van Cleef & Arpels ตั้งต้นจากการค้นหาเรื่องราวที่มีความโดดเด่น เปี่ยมด้วยความอัศจรรย์ใจ ทั้งยังงดงามตรงกับดีเอ็นเอของเมซง และในขณะเดียวกัน ก็นำพาเราก้าวข้ามพรมแดนไปปยังขอบฟ้าใหม่ด้วย อย่างเช่นเรื่อง Treasure Island ซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและเป็นผลงานที่อยู่ในใจนักอ่านมากมาย แต่เราไม่ได้แค่นำมาบออกเล่าใหม่แบบร่วมสมัย และในขณะเดียวกันเชื่อมโยงเข้ากับมรดกและองค์ความรู้ของเราด้วย
“อย่างในเรื่องของเทคนิค คอลเลกชั่นนี้เป็นการระดมองค์ความรู้ต่างๆ มาใช้ อย่าง Mystery Set ซึ่งเมซงคิดค้นมาตั้งแต่ปี 1937 โดยมีผลงาน 8 ชิ้นที่ใช้เทคนิคนี้ ซึ่งมีวิวัฒนาการต่างไปจากเดิม (เดิมใช้กับพื้นผิวที่แบนราบ แล้วเริ่มใช้กันบนพื้นผิวที่มีมมิติ รวมถึงการใช้กัไม่ใช่แค่ทับทิม แต่ไปสู่อัญมณีอื่นๆ เช่น มรกตซึ่งมีความเปราะ จึงต้องชำนาญมากๆ) รวมถึงเทคนิค Vitrail Set ซึ่งใช้ครั้งแรกในปี 2013 ซึ่งทำให้มองเห็นความโปร่งแสงของอัญมณี และมองไม่เห็นหนามเตยเลย (ดังที่ปรากฏอยู่ในเข็มกลัด Poisson Mysterieux) ผลงานหลายชิ้นที่ขึ้นชื่อเรื่อง transformability ซึ่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสวมใส่ได้ แล้วตัวอัญมณีก็เช่นกัน ทีมสรรหาอัญมณีเริ่มเสาะหามาตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้วซึ่งมันเป็นเหมือนการตามล่าขุมสมบัติสำหรับพวกเขาเหมือนกัน อย่างเข็มกลัด Coquillage ซึ่งผสานหลายองค์ประกอบและ savoir-faire เข้าด้วยกัน ทั้ง Mystery Set กับเทคนิคอื่นๆ อัญมณีหลาชนิด การไล่เฉดสี และเซอร์ไพรส์ที่ด้านหลัง”
-สำหรับคุณแล้ว คอลเลกชั่น Treasure Island ต่างจากคอลเลกชั่นที่ผ่านมาในแง่ไหน
“มีหลายคอลเลกชั่นที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวในเทพนิยายหรือวรรณกรรม เช่น Romeo & Juliette, Peau d’Anne, Midnight’s Summer Dream… และมีสิ่งที่เชื่อมโยงกัน ทั้งในด้านงานคราฟต์และความตั้งใจบอกเล่าเรื่องราวเพื่อสื่อสารอารมณ์ควาามรู้สึก ความงดงาม ความอัศจรรย์ใจ อย่างไรก็ตาม ชิ้นงานในคอลเลกชั่นนี้จะมีลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ ที่แฝงอารมณ์ขันเล็กน้อยๆ อย่างหน้าตาของโจรสลัดซึ่งออกแนวซุกซน ไม่ได้โหดเหี้ยม หรือในกำไลที่ได้แรงบันดาลใจจากยุคพรีโคลัมเบีย จะเห็นใบหน้าที่ประดับบนกำไลที่ผสานอารมณ์ขัน นิโกลาส์ บอส อดีตซีอีโอของเราบอกว่านี่คือคอลเลกชั่นที่มีลูกเล่น และสร้างเซอร์ไพรส์ได้”
-คอลเลกชั่นนี้เป็นตัวแทนขนบการสร้างสรรค์ไฮจิวเวลรี่อย่างไรบ้าง
“แคทเธอรีน เรนิเยร์ ซีอีโอคนปัจจุบันบอกว่าไฮจิวเวลรี่ทุกคอลเลกชั่นคือแคนวาส ซึ่งเราได้ผสมผสานเฮอริเทจ แนวคิดและทักษะที่เป็นฃรากฐานของเมซง และองค์ความรู้ต่างๆ เข้าด้วยกัน บางเทคนิคที่ใช้ในวันนี้วิวัฒน์มาจากอดีต มันเหมือนบทสนทนาที่ต่อเนื่องรจากอดีต สู่ปัจจุบัน และอนาคต และทั้งหมดนี้ก็เพื่อรองรับความคิดสร้างสรรค์ จะบอกว่าผลงานร่วมสมัยที่เราสร้างสรรค์ในวันนี้คืออนาคตของเฮอริเทจของเราเองก็คงได้ มันน่าทึ่งนนะคะ เมื่อเวลาผ่านไป ผลงานเหล่านี้ได้กลายมาเป็นตัวแทนของยุคสมัย และเป็นภาพของความทรงจำ ตัวแทนของความคิดสร้างสรรค์ และศิลปะ รวมถึงของขวัญจากธรรมชาติ”
-งานที่คุณทำอยู่เป็นงานที่มีความจริงจัง ว่าแต่มีแง่มุมไหนที่ความสนุกไหม
“การทำงานร่วมกันนี่ล่ะค่ะ รวมถึงการได้รับฟังเรื่องราวและมุมมองที่เปี่ยมด้วยแพสชั่นขอทีมงานทุกฝ่าย รวมถึงการได้มาอยู่ในสถานที่สุดวิเศษเช่นที่นี่ ขอยกคำพูดของนิโกลาส์ บอส นะคะ ‘เราไม่ได้ต้องการจิวเวลรี่ในการดรงชีวิต แต่ชีวิตที่ปราศจากจิวเวลรี่คงจะเศร้าน่าดู’ มันเป็นธุรกิจ แต่ในแง่หนึ่งมันคือการแบ่งปันเรื่องราวจิวเวลรี่ให้กับลูกค้าที่หลงใหลในผลงานสร้างสรรค์เหล่านี้ และมันมีความหมายอยู่เบื้องหลังมากมาย อย่างโปรเจ็กต์สนับสนุน L’ECOLE ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ให้ความรู้เกี่ยวกับจิวเวลรี่ ฉันคิดว่าความสามารถของ Van Cleef & Arpels ในการทำงานที่ทั้งเอ็กซ์คลูซีฟและละเมียดละไมแบบอีเวนต์นี้ หรือการส่งเสริมและแบ่งปันความรักที่มีต่อจิวเวลรี่แก่คนทั่วไป ผ่านคลาสเรียน งานเสวนา นิทรรศการ นั้นเป็นสิ่งที่สวยงามมากๆ และมันนำความสุขใจมาให้ได้อย่างไม่รู้จบ ฉันบอกกับทีมเสมอว่าอย่าจริงจังแต่จงทำงานให้จริงจัง”
-ตัวคุณเองทำงานในแวดวงลักชัวรี่มากว่า 20 ปี คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง
“ทุกครั้งที่มีผลงานใหม่หรือคอลเลกชั่นใหม่ออกมา เรามักรู้สึกว่าเราอาจจะทำงานที่สร้างความรู้สึกยิ่งใหญ่เท่านี้อีกไม่ได้แล้ว แต่สุดท้ายมันก็ทำออกมาได้ทุกครั้ง ซึ่งทำให้รู้สึกได้ว่า ความคิดสร้างสรรค์นั้นไม่มีวันสิ้นสุดและยังไร้ขีดจำกัดด้วย และมันทำให้รู้ว่าเราต้องรู้จักสนใจใคร่รู้อยู่เสมอว่าอะไรเกิดขึ้นรอบตัวเราบ้าง โลกไปถึงไหน ลูกค้าชอบอะไร และอะไรที่เป็นไปได้ในอนาคต”
บทความอื่นที่น่าสนใจ:
VAN CLEEF & ARPELS พาเราออกตามหาขุมทรัพย์ไฮจิวเวลรี่ Treasure Island
Van Cleef & Arpels เชิดชูหัตถศิลป์ชั้นสูงในนาฬิกาใหม่ในคอลเลกชั่น Extraordinary Dials