Blog

อุตสาหกรรมดนตรีกับความหลากหลายทางเพศ

โลกแห่งดนตรีเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่เปิดกว้างความอิสระต่อความคิดและรสนิยมของคนในสังคม แน่นอนว่าดนตรีและความหลากหลายทางเพศมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งและหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะในฐานะเครื่องมือในการแสดงออก การต่อต้าน หรือการหลบหนีจากกรอบเพศและอัตลักษณ์แบบเดิม ๆ นี่คือประเด็นหลักบางส่วนที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง ดนตรีกับความหลากหลายทางเพศ

สืบย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 18 เพศและความปรารถนาที่เบี่ยงเบนจากบรรทัดฐานถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ทั้งถูกซุกซ่อน ปราบปราม และผลักให้เป็นเรื่องต้องห้าม โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาเหนือ ความรักระหว่างเพศเดียวกัน (โดยเฉพาะชาย-ชาย) ถูกจัดว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรง เช่น ในอังกฤษ มีกฎหมาย “Buggery Act” ที่กำหนดโทษถึงขั้นประหารชีวิตสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชาย

อย่างไรก็ตาม ยุคนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่เริ่มปรากฏร่องรอยของการตั้งคำถามต่อกรอบเพศที่ตายตัว ผู้คนบางกลุ่มเริ่มใช้ “พื้นที่ทางวัฒนธรรม” เช่น วรรณกรรม โรงละคร และศิลปะ เป็นช่องทางในการสำรวจตัวตนและความปรารถนาที่หลุดพ้นจากกรอบชาย-หญิงแบบเดิม

แนวคิดจากยุคแสงสว่างทางปัญญา (Enlightenment) โดยนักปรัชญาอย่าง Rousseau และ Voltaire แม้จะยังไม่พูดถึงความหลากหลายทางเพศโดยตรง แต่ก็เริ่มผลักดันแนวคิดเรื่องเสรีภาพและศักดิ์ศรีของปัจเจกบุคคล ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของการเรียกร้องสิทธิในยุคถัดมา งานเขียนบางชิ้นในช่วงนี้ เช่น จดหมายรักระหว่างเพศเดียวกันในอังกฤษ หรือวรรณกรรมแนวทดลองของ Marquis de Sade ในฝรั่งเศส ก็สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจในเรื่องเพศที่หลุดพ้นจากกรอบศีลธรรมแบบดั้งเดิมเช่นกัน

ศตวรรษที่ 19 คือช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านจากการลงโทษด้วยศาสนา ไปสู่การควบคุมด้วยวิทยาศาสตร์ แม้ยังไม่มีการยอมรับความหลากหลายทางเพศในฐานะ “สิทธิ” แต่ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญที่แนวคิดเรื่อง ตัวตนทางเพศ เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง และวางรากฐานให้กับการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิเพศหลากหลายในศตวรรษที่ 20

ดนตรีเป็นพื้นที่ปลอดภัยของความหลากหลายทางเพศ

© Masayoshi Sukita

สำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ ดนตรีเป็นพื้นที่ที่พวกเขาสามารถแสดงตัวตนได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวการถูกตัดสิน ไม่ว่าจะผ่านเนื้อเพลง การแต่งกาย หรือการแสดงออกบนเวที David Bowie และ Prince ที่ท้าทายกรอบเพศด้วยแฟชั่นและสไตล์ดนตรี Lady Gaga ที่สนับสนุน LGBTQ+ อย่างชัดเจนและใช้เวทีคอนเสิร์ตเป็นพื้นที่แห่งการเฉลิมฉลองตัวตน

เครดิต: Coachella

การเป็นตัวแทนของ LGBTQIA+ ในวงการดนตรี

นักดนตรี LGBTQIA+ หลายคนได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญทั้งในด้านวัฒนธรรมและการเคลื่อนไหวทางสังคม พวกเขาใช้ชื่อเสียง เพลง และตัวตนในการเปิดพื้นที่ให้ความหลากหลายทางเพศเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง อาทิ Freddie Mercury แห่งวง Queen หนึ่งในศิลปินที่ทรงอิทธิพลที่สุด แม้จะใช้ชีวิตในยุคที่สังคมยังตีตราเรื่องเพศ เขาก็ไม่เคยปิดบังความเป็นตัวเอง และกลายเป็นไอคอนของความกล้าหาญและเสรีภาพทางเพศ ขณะที่ศิลปินรุ่นใหม่อย่าง Sam Smith, Troye Sivan, Janelle Monáe และ Frank Ocean ต่างก็เลือกพูดถึงอัตลักษณ์ทางเพศของตนเองอย่างเปิดเผย พวกเขานำเสนอเรื่องราวความรัก ความรู้สึก และความซับซ้อนของเพศสภาพผ่านบทเพลงอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งช่วยให้ผู้ฟังรู้สึกเชื่อมโยง เข้าใจ และยอมรับความหลากหลายมากยิ่งขึ้น

เครดิต: Getty Images

ดนตรีในฐานะการต่อต้านและปลดแอก

ดนตรีหลากหลายแนวเช่น พังก์, เฮาส์, บอลรูม, เทคโน ไปจนถึงป๊อปใต้ดิน มักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อต้านอำนาจนิยมและท้าทายโครงสร้างเพศแบบทวิลักษณ์ที่กดทับความหลากหลายทางเพศ

Ballroom Culture ของชุมชน LGBTQ+ เชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกันและลาตินในนิวยอร์กช่วงทศวรรษ 1980 คือหนึ่งในตัวอย่างสำคัญ วัฒนธรรมย่อยนี้เปิดพื้นที่ให้กับผู้คนที่ถูกกีดกันจากสังคมกระแสหลัก ได้แสดงออกผ่านการเต้น “voguing” และการแข่งขันที่หลอมรวมความภาคภูมิใจในตัวตน ความฝัน และแฟชั่นเข้าไว้ด้วยกัน

เครดิต: Getty Images

ในอีกด้านหนึ่ง Queercore ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของดนตรีพังก์ ก็เกิดขึ้นจากความไม่พอใจต่อทั้งสังคมหลักและวัฒนธรรมพังก์กระแสหลักที่ยังคงมีแนวโน้มเหยียดเพศ เพลงในแนวนี้จึงกลายเป็นเสียงต้านอันทรงพลังต่อการกดทับทางเพศ เพศวิถี และระบบชายเป็นใหญ่

การฟังเพลงแนวใดแนวหนึ่งมักสะท้อนอัตลักษณ์และความเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ดนตรีจึงไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่ยังเป็นเครื่องหมายทางวัฒนธรรมที่แสดงถึงความเป็นตัวตนในหลายเมืองใหญ่ ดนตรีแนว Electronic และ Club กลายเป็นหัวใจของวัฒนธรรมเควียร์ เป็นพื้นที่ที่ผู้คนสามารถปลดปล่อยตัวตนอย่างอิสระและร่วมสร้างคอมมูนิตี้ที่เปิดกว้าง

ขณะเดียวกัน เพลงของ Diva Icons อย่าง Madonna, Cher , Laday Gaga หรือ Beyoncé ก็ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่ม LGBTQ+ เพราะเนื้อหาที่พูดถึงพลัง ความเข้มแข็ง และการยืนหยัดในความเป็นตัวเอง ซึ่งมอบแรงบันดาลใจและความภาคภูมิใจให้กับผู้ฟังที่เคยถูกทำให้รู้สึกเป็นคนนอก

เครดิต: Getty Images

ในปี 2023 มีศิลปิน 164 รายปรากฏบนชาร์ต Billboard Year-End Chart ของ Hot 100 ในจำนวนนี้ 64.6% เป็นผู้ชาย 34.8% เป็นผู้หญิง และ 0.6% เป็นแบบไม่ระบุเพศ จากตัวอย่าง 12 ปี ศิลปินหญิงมีแนวโน้มสูงสุดที่จะทำงานในแนวเพลงป็อป (34.7%) และมีแนวโน้มน้อยที่สุดในแนวอัลเทอร์เนทีฟ (14.4%) และฮิปฮอป (14.9%)

ปัจจุบันอุตสาหกรรมดนตรีไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เมื่อเรื่องเพศไม่ใช่แค่สีสัน แต่เริ่มกลายเป็นพื้นที่ของการเล่าเรื่องตัวตน เสรีภาพ และการต่อต้านกรอบเดิม ๆ อย่างชัดเจนขึ้น เช่น เคลื่อนลูกใหม่อย่างวงการ T-Pop และ Thai Idol ที่มีการเปิดกว้างและมองข้ามบรรทัดฐานเดิมๆ เช่นโอบกอดตัวตนและความชอบของศิลปิน และเปิดกว้างให้แสดงตัวตนบนเวทีจนกลายเป็นอีกหนึ่งคาแรคเตอร์ที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมนี้ แม้จะยังมีข้อจำกัด และคำวิพากย์วิจารณ์ แต่เสียงของเพศที่หลากหลายในวงการดนตรีไทยก็กำลังเปล่งออกมาอย่างทรงพลังมากขึ้นในทุกเวที

บทความที่เกี่ยวข้อง
Thought & Thing : ความงดงามของธรรมชาติผ่านจินตนาการของ medmedmedss
Khao Yai Art Forest ที่เที่ยวเขาใหญ่พื้นที่แห่งวงการศิลปะไทยในรูปแบบใหม่
Clinamen งานศิลปะที่ชวนคิดถึงบทความไม่แน่นอน ณ Bourse de Commerce

The post อุตสาหกรรมดนตรีกับความหลากหลายทางเพศ appeared first on L’Officiel Thailand.

Related Articles

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Back to top button
pgslot
pg
scatter hitam
slot gacor hari ini
https://stieamkop.ac.id/
scatter hitam
slot gacor hari ini
https://m2r.sumbatimurkab.go.id/
scatter hitam
slot gacor hari ini
https://m2r.pa-magelang.go.id/