เจาะลึกทุกดีเทล! เบื้องหลังความล้ำหน้าและความหรูหราของการบำรุงผิวของ L’Or de Vie จาก Dior Beauty
เมื่อเราได้เดินทางไปบอร์กโดซ์ ถิ่นกำเนิดของส่วนผสมหลักประจำคอลเลกชั่นสกินแคร์อันหรูหราอย่าง L’Or de Vie พร้อมสัมผัสกับความก้าวหน้าในการพัฒนาสูตรครั้งใหม่
ที่ผ่านมาหลายคนคงจะเริ่มคุ้นหูกันบ้างแล้วกับเทรนด์การดูแลผิวที่ว่าด้วยเรื่อง ‘Longevity’ ซึ่งแน่นอนว่าได้กลายมาเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นของวงการสกินแคร์ในปัจจุบันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เทรนด์ความงามที่ให้ความสำคัญมากกว่าแค่การลดเลือนริ้วรอยหรือความหย่อนคล้อย แต่มองลึกเข้าไปถึงขั้นส่งเสริมการทำงานของผิวให้เต็มประสิทธิภาพอยู่เสมอ เพราะผลลัพธ์ที่ได้ก็คือการมีผิวอ่อนเยาว์จากภายใน และก็เป็นอีกครั้งที่เราได้สัมผัสกับอีกหนึ่งคอลเลกชั่นสกินแคร์ที่มาพร้อมกับมุมมองที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง Longevity เมื่อเราได้เดินทางไปที่เมืองบอร์กโดซ์ ประเทศฝรั่งเศส กับ Dior Beauty เพื่อสัมผัสกับการพัฒนาสูตรล่าสุดของคอลเลกชั่นสกินแคร์อันหรูหราอย่าง L’Or de Vie
Château d’Yquem (ชาโต ดีเก็ม) ไร่ไวน์อันเลื่องชื่อซึ่งมีประสบการณ์ในการทำไวน์มากว่า 400 ปี ที่ Dior Beauty ได้เลือกเอาแต่ละส่วนของต้นองุ่นในไร่มาเป็นส่วนผสมหลักสำหรับสกินแคร์แต่ละรุ่นในคอลเลกชั่น L’Or de Vie
สาหตุที่ต้องเป็นเมืองบอร์กโดซ์นั้นก็เพราะเป็นแหล่งที่ตั้งของสถานที่เพาะปลูกส่วนผสมอันเป็นหัวใจหลักของคอลเลกชั่นสกินแคร์ L’Or de Vie อย่าง Château d’Yquem (ชาโต ดีเก็ม) ไร่ไวน์อันเลื่องชื่อซึ่งมีประสบการณ์ในการทำไวน์มากว่า 400 ปี ที่ Dior Beauty ได้เลือกเอาแต่ละส่วนของต้นองุ่นในไร่มาเป็นส่วนผสมหลักสำหรับสกินแคร์แต่ละรุ่นในคอลเลกชั่น L’Or de Vie ไม่ว่าจะเป็นเถา ผล หรือน้ำเลี้ยง โดยครั้งนี้สารสกัดจากผลองุ่นสีทองที่มีฉายาว่า ‘Golden Grape’ ซึ่งเกิดจาก Botrytis Cinerea (เชื้อราชนิดหนึ่ง) ในหลายพื้นที่อาจมองว่าเป็นปัญหาแต่ไม่ใช่ที่ Château d’Yquem ด้วยตำแหน่งที่ตั้งของไร่ไวน์ ซึ่งด้านบนเป็นลำธารที่มีความเย็น ส่วนด้านล่างมีแม่น้ำที่มีความอุ่นมากกว่า ก่อให้เกิดหมอกในตอนกลางคืนที่มีความชื้นกำลังดีและเหมาะกับไร่องุ่น พร้อมกับแสงแดดตอนกลางวันในฤดูกาลปกติ ภูมิอากาศและระบบนิเวศเช่นนี้เอื้อต่อการเกิด Botrytis Cinerea ในปริมาณที่พอเหมาะ ทำให้ผลองุ่นในไร่กลายเป็นสีเหลืองอมทอง อุดมไปด้วยน้ำตาล กลายเป็นโมเลกุลอันทรงพลังทำให้องุ่นสีทองนี้โดดเด่นออกมา
Golden Grape ได้รับการดูแลอย่างดีก่อนจะนำมาสกัดเป็น 2 ส่วนผสมหลักของ Golden DropTM Life Technology ซึ่งถูกพัฒนาโดย Dior Science เพื่อ L’Or de Vie สูตรใหม่โดยเฉพาะ อย่าง Golden Sap น้ำเลี้ยงของผลองุ่น และ Golden Ferment ที่ได้รับการหมักบ่มตั้งแต่อยู่บนต้น โดยทั้งสองผลิตภัณฑ์นี้มีประสิทธิภาพในการบำรุงผิวอย่างล้ำลึก ทั้งเรื่องการทำงานของเซลล์ผิว ความเปล่งปลั่ง และความอ่อนเยาว์ที่ยั่งยืน
Bruno Bavouzet ผู้ดำรงตำแหน่งประธานของ LVMH Recherche เล่าว่า “Golden DropTM Life Technology มีหน้าที่หลักสองอย่าง อย่างแรกคือการฟื้นคืนความมีชีวิตชีวาของเซลล์ผิว เราได้ทำการทดลองโดยเปรียบเทียบเซลล์ผิวที่มีอายุน้อยกับเซลล์ผิวที่มีอายุมาก และเมื่อได้ใช้ส่วนผสมหลักของเรากับเซลล์ผิวที่มีอายุมาก ผลลัพธ์ที่ได้คือเกิดการกระตุ้นการทำงานภายในเซลล์ผิวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และนั่นก็รวมไปถึงกลไกสร้างความอ่อนเยาว์ที่ยั่งยืนในเซลล์ผิวด้วยเช่นกัน ประการต่อมา ในมุมมองของเรื่อง Longevity นั้นมี 3 โมเลกุลหลักๆ ภายในเซลล์ผิวที่สำคัญต่อการสร้างความอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืนให้กับผิว ก็คือ SOD, NAD+ และ Sirturin เราเห็นผลอย่างชัดเจนว่าส่วนผสมหลักของเราในครั้งนี้ช่วยกระตุ้นการทำงานของทั้ง 3 โมเลกุลให้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ได้กระตุ้นแค่โมเลกุลใดโมเลกุลหนึ่ง ซึ่งในกรณีนั้นจะไม่เพียงพอที่จะสร้างความอ่อนเยาว์ที่ยั่งยืนให้กับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะทั้ง 3 โมเลกุลที่กล่าวมาทำงานเป็นระบบซึ่งกันและกัน ด้วยความเข้มข้นและการผสมผสานส่วนผสมในปริมาณที่เหมาะสม ทำให้ Golden DropTM Life Technology ของเรานั้นทรงประสิทธิภาพกว่าที่เคยเห็นในสกินแคร์ของ L’Or de Vie รุ่นก่อนๆ”
เขายังเล่าถึงการสกัดสองส่วนผสมหลักของ Golden DropTM Life Technology ไว้อีกว่า “สำหรับ Golden Sap เราใช้วิธีการกลั่นวัตถุดิบเพื่อนำเอาส่วนผสมหลักออกมา โดยพัฒนาการกลั่นมาแล้วหลายวิธีเพื่อหาวิธีที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติและได้ส่วนผสมเข้มข้นตรงตามความต้องการมากที่สุด ส่วน Golden Ferment เราต่อยอดจากการทำงานของ Botrytis Cinerea ที่เกาะอยู่บนเปลือกองุ่น ซึ่งเป็นการหมักบ่มจากธรรมชาติ เมื่อครบระยะเวลาที่เหมาะสมจึงค่อยนำมากลั่นเพื่อสร้างโมเลกุลของส่วนผสมที่บริสุทธิ์และเข้มข้นตามที่เราต้องการ”
การพัฒนาสูตรของ L’Or de Vie ในครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำความตั้งใจและจริงจังในเรื่องของความอ่อนเยาว์ที่ยั่งยืนของผิวสำหรับ Dior Beauty จากการวิจัยที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับระบบการทำงานของผิว ซึ่งทำงานแบบพึ่งพาอาศัยกันในทุกช่วงอายุ แต่เมื่ออายุมากขึ้นและมีปัจจัยที่มากระทบการทำงานของกลไกในผิว ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก การทำงานของเซลล์ผิวก็เสื่อมถอยลงได้ และเมื่อกลไกหนึ่งหยุดทำงานก็จะส่งผลให้กลไกที่เหลือหยุดทำงานไปด้วย ส่วนผสมของ L’Or de Vie จึงออกแบบมาเพื่อบำรุงการทำงานของผิวแบบตรงจุด โดยเฉพาะกับกลไกที่ช่วยสร้างความอ่อนเยาว์ของผิวให้กลับมาทำงานด้วยกันอย่างราบรื่นและเต็มประสิทธิภาพ
“ความจริงแล้วเราไม่ได้ตั้งเกณฑ์อายุสำหรับผู้ใช้ L’Or de Vie เพราะตามหลักธรรมชาติ การเริ่มต้นเร็วนั้นย่อมดีเสมอ เช่นเดียวกับการใช้สกินแคร์ หากเริ่มต้นได้เร็วก็เหมือนเป็นการป้องกันความร่วงโรยหรือปัญหาผิวที่จะตามมาได้ ถ้าหากพูดถึง L’Or de Vie ก็คงจะเป็นการรักษาประสิทธิภาพการทำงานของผิวเพื่อสร้างความอ่อนเยาว์อย่างยั่งยืนและสม่ำเสมอ สำหรับใครที่เริ่มต้นใช้เมื่ออายุมากขึ้น ก็เหมือนกับการไปกระตุ้นการทำงานของผิวให้กลับมาเต็มประสิทธิภาพและสร้างความอ่อนเยาว์จากภายใน” Virginie Couturaud ผู้ดำรงตำแหน่ง Christian Dior Parfums Scientific Communication Director กล่าวเสริม ตอกย้ำมุมมองเกี่ยวกับความยั่งยืนในผิวหรือ ‘Skin Longevity’ ของ L’Or de Vie สูตรใหม่นี้ได้อย่างดี
คอลเลกชั่นสกินแคร์ L’Or de Vie มาพร้อมกับ 5 ขั้นตอนกิจวัตร โดยมีดาวเด่นเป็นขั้นตอน Le Sérum ซึ่งอุดมไปด้วยส่วนผสมหลักที่เข้มข้น เนื้อเซรั่มที่ไม่เหลวจนเกินไปจะซึมซาบเข้าสู่ผิวอย่างง่ายดาย พร้อมช่วยบำรุงผิวในเรื่องของความกระชับและอิ่มเอิบ ส่วนอีกหนึ่งขั้นตอนคือ Les Crèmes มากับสองเนื้อสัมผัส เพื่อตอบโจทย์การใช้ในเวลาที่แตกต่างกันในแต่ละวัน รวมไปถึงสภาพผิวที่แตกต่าง มีส่วนผสมหลักที่เข้มข้นไม่ต่างจากขั้นตอนเซรั่ม เนื้อครีมจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงผิวอย่างล้ำลึก สร้างความเรียบเนียนและสร้างความอ่อนเยาว์ที่ยั่งยืนให้กับผิว
ปิดท้ายด้วยแพ็กเกจจิ้งที่ยังคงเป็นสีทองสวยดูหรูหรา ในรูปทรงเหลี่ยมสุดคลาสสิก มาพร้อมกับการประดับมงกุฎทองคำที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสัญลักษณ์องุ่นของ Château d’Yquem ทุกชิ้นถูกประกอบด้วยมือ มากไปกว่านั้นยังมีผลิตภัณฑ์ในรูปแบบรีฟิลในทุกๆ ขั้นตอน สะท้อนให้เห็นถึงการใส่ใจในความยั่งยืนของธรรมชาติที่มีไม่น้อยไปกว่าความใส่ใจในความยั่งยืนของผิวที่สวยงามและอ่อนเยาว์
ขอบคุณภาพจาก Dior Beauty