เทศกาลหนังทดลองกรุงเทพฯ ครั้งที่ 7 ก้าวสำคัญของวงการศิลปะภาพยนตร์ที่ไรเขีดจำกัด – L’Officiel Thailand
วัน แบงค็อก แลนด์มาร์คระดับโลกใจกลางกรุงเทพฯ ร่วมสนับสนุนเทศกาลหนังทดลองกรุงเทพฯครั้งที่ 7 (7th Bangkok Experimental Film Festival) หรือ BEFF7 ซึ่งกลับมาจัดอีกครั้งในรอบ 12 ปี ภายใต้ธีม “Nowhere Somewhere” (ไร้ที่มีทาง) ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของวงการศิลปะภาพยนตร์ไทยในการท้าทายกรอบและขีดจำกัดเดิมๆ พร้อมส่งเสริมการสร้างสรรค์คอมมูนิตี้ด้านศิลปะและวัฒนธรรมระดับโลกในประเทศไทย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568 ณ วัน แบงค็อก ฟอรัม
BEFF หรือ เทศกาลหนังทดลองกรุงเทพฯ คืออะไร
BEFF ย่อมาจาก Bangkok Experimental Film Festival หรือ เทศกาลหนังทดลองกรุงเทพฯ ก่อตั้งในปี 2540 โดย กฤติยา กาวีวงศ์ และ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เพื่อส่งเสริมภาพยนตร์ทดลองและอิสระในประเทศไทยและเอเชีย เทศกาลนี้เน้นการนำเสนอภาพยนตร์ที่ท้าทายกรอบดั้งเดิมของภาพยนตร์และศิลปะ ผสมผสานความสร้างสรรค์จากศิลปินไทยและต่างประเทศ
หลังจากที่ห่างหายไปกว่า 12 ปี เทศกาลหนังทดลองกรุงเทพฯกลับมาภายใต้ธีม “Nowhere Somewhere” (ไร้ที่มีทาง) โดยเชิญชวนผู้ชมสำรวจประเด็นเรื่องพื้นที่ อัตลักษณ์ และธรรมชาติของการดำรงอยู่ที่เปลี่ยนแปลง ผ่านการนำเสนอโปรแกรมภาพยนตร์และงานติดตั้งที่พร่ามัวระหว่างความจริงกับจินตนาการ นอกจากนั้น ยังมีการแสดงดนตรีทดลอง การแสดงสด การจัดเวิร์กชอป และการสัมมนาโดยศิลปิน ผู้กำกับ เเละนักเเสดงอาชีพ โดยมีผลงานต่างๆที่น่าสนใจมากมาย
โปรแกรมการฉายภาพยนตร์
คัดสรรภาพยนตร์ทดลองกว่า 129 เรื่องจากทั่วโลก แบ่งเป็น 29 โปรแกรม คัดสรรโดย แมรี่ ปานสง่า ภัณฑารักษ์ BEFF7 พร้อมด้วยภัณฑารักษ์รับเชิญ ได้แก่ เม อาดาดล อิงคะวณิช, จูเลียน รอสส์, เดวิด เทห์, กลุ่มคัดดุกกาส (อนุจ มาลโฮตรา, เคทัน ดูอา และ มาเฮช เอส), และ จอร์จ คลาร์ก นำเสนอผลงานโดยผู้กำกับหลากหลาย ทั้งศิลปินหน้าใหม่ไฟแรงและผู้กำกับระดับตำนาน ร่วมด้วยโปรแกรมพิเศษจากหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) และภาพยนตร์ไฮไลท์จาก BEFF ในอดีต
Cr. กรุงเทพคนหนึ่ง
งานศิลปะจัดวาง
COSMORAMA บนชั้น 3 จัดแสดงผลงานศิลปะจัดวางชิ้นใหม่ที่สร้างสรรค์ขึ้นสำหรับ BEFF7 โดยเฉพาะ โดยศิลปินรับเชิญ 5 ท่าน ในส่วนบริเวณชั้น 2 มีการจัดแสดงผลงานศิลปะจัดวางได้แก่ DISSOLVING ROOM โดยศิลปิน 3 ท่าน, Leave Us to Complete the Films และ Unmasked (Bootleg)
บทสนทนากับดวงอาทิตย์ (VR)
ผลงานชิ้นเอกโดย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ที่ผสานเทคโนโลยี VR การแสดง และภาพเคลื่อนไหว เข้ากับเสียงประกอบโดย ริวอิจิ ซากาโมโตะ ร่วมเดินทางสู่โลกเหนือจินตนาการ สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างความทรงจำ แสง และวัฏจักรแห่งการมีชีวิต
Cr. ชาแนล
โดย Conversation with the Sun คืองานศิลปะสื่อผสมที่ใช้เทคโนโลยี VR หรือ Virtual Reality เข้ามาใช้ในการเล่าถึงประสบการณ์ที่ชวนให้ผู้ชมสำรวจประเด็นต่างๆ ของการดำรงอยู่ของชีวิต ความทรงจำ และเทคโนโลยี ผสมผสานงานเสียงที่สร้างบรรยากาศโดยศิลปินชาวญี่ปุ่นผู้ลวงลับอย่าง เรียวอิจิ ซากาโมโตะ ผู้สร้างสรรค์ผลงานเพลงหลากหลายแนว ตั้งแต่แนวอิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงคลาสสิก ประกอบกับการรังสรรค์ภาพ 3 มิติเสมือนจริงโดย คัตสึยะ ทานิกุจิ ศิลปินดิจิทัล VR และแน่นอนว่าทุกองค์ประกอบจะทำให้ประสบการณ์ในบทสนทนากับพระอาทิตย์ในครั้งนี้ไปสู่อีกระดับ
การแสดงสดเชิงทดลอง
การแสดงละครเวที 5 เรื่องที่กำกับโดยผู้กำกับภาพยนตร์และศิลปินไทย ซึ่งประกอบไปด้วย “คิดถึง” (The Perfetti Method) โดย ศิวโรจณ์ คงสกุล “บุคลาธิษฐาน” (The Velvet Kingdom) โดย พวงสร้อย อักษรสว่าง แว่วเสียงแจ่โก่ (Echoes of the Beating Drum) โดย ณฐพล บุญประกอบ Work In Progress โดย ทีมครูร่ม ร่มฉัตร ธนาลาภพิพัฒน์ และ The Process of Moving Someone or Something From One Place to Another โดย นพพันธ์ บุญใหญ่ และแตงโม ลฎาภา
ผลงานเหล่านี้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับพื้นที่และตัวตนที่เปลี่ยนแปลง โดยไม่มีกรอบเฟรมจำกัดมุมมอง ทำให้ผู้ชมกลายเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง
การแสดงดนตรีสด Night of the Dry Flowers
การแสดงดนตรีทดลองคิวเรทโดย SO::ON Dry Flower นำโดยศิลปินระดับโลก อกคยอง อี และ วูกีร์ ซูริยาดี ร่วมด้วยศิลปินไทยและนานาชาติ กับผลงานสร้างสรรค์ที่ผสานดนตรี ภาพยนตร์ และการออกแบบฉากเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
เวิร์กชอปและสัมมนา
กิจกรรมเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตรงกับผู้เชี่ยวชาญในวงการ อาทิ เวิร์กชอปการทำภาพยนตร์ทดลองด้วยฟิล์ม 16 มม. โดยกลุ่ม Rolling Wild, เวิร์กชอปการสร้างเสียงประกอบภาพยนตร์จากสิ่งของรอบตัว โดย อานนท์ นงค์เยาว์ และสัมมนา Why (Not) Cinema? โดย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล และ สมพจน์ ชิตเกษรพงศ์ รวมถึงกิจกรรมเสวนา An Encounter: The Last Thing You Saw That Felt Like a Movie โดย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล และ ทิลดา สวินตัน นักแสดงระดับฮอลลีวู้ด
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล BEFF7 และร่วมเปิดประตูศิลปะภาพยนตร์ไทยสู่โลกไร้ขอบเขต ณ วัน แบงค็อก ฟอรัม ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568
วรวรรต ศรีสอ้าน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารโครงการวันแบงค็อกกล่าวว่า “วัน แบงค็อก เป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับผู้คนที่หลากหลาย เรามอบประสบการณ์ใหม่ของการใช้ชีวิตในทุกรูปแบบ พร้อมมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์พื้นที่ที่เปิดกว้างสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิด ตลอดจนการแสดงออกด้านศิลปะและวัฒนธรรมซึ่งจะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนและขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปข้างหน้า เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นผู้สนับสนุนหลักในเทศกาลหนังทดลองกรุงเทพฯ ครั้งที่ 7 หรือ BEFF7 ซึ่งงานนี้สอดคล้องกับปรัชญาของ วัน แบงค็อก ที่ต้องการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ พร้อมยกระดับกรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางด้านศิลปะและวัฒนธรรมระดับโลก”
จรินทร์ทิพย์ ชูหมื่นไวย ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายศิลปะและวัฒนธรรมและผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การสร้างแบรนด์โครงการวันแบงค็อก เสริมว่า “BEFF นับเป็นเวทีสำคัญสำหรับศิลปะ ภาพยนตร์ทดลอง ผู้สร้างภาพยนตร์ ศิลปิน นักดนตรี นักเเสดงและผู้ชม มาสร้างบทสนทนาเพื่อขยายขอบเขตของความคิดสร้างสรรค์ ท้าทายรูปแบบดั้งเดิมโดยการผสมผสานระหว่างศิลปะและภาพยนตร์ อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักในระดับโลกในฐานะแพล็ตฟอร์มซึ่งสนับสนุนเเละเผยแพร่ผลงานของศิลปินไทยไปสู่ประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา สวีเดน สิงคโปร์ และออสเตรเลีย วัตถุประสงค์ของ BEFF จึงตรงกับความมุ่งมั่นของ วัน แบงค็อก ในการสร้างพื้นที่แห่งศิลปะและวัฒนธรรมอันเปรียบเสมือน Inspiring Urban Canvas ที่ชวนทุกคนมาแต่งแต้ม เติมสีสัน และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่กันได้ไม่รู้จบ”
Cr. Chanel
“ตอนนี้ภาพยนตร์อิสระมันผลุดขึ้นมาเหมือนดอกไม้ แต่ก่อนหน้านี้หายไปหลายปี ในช่วงปี 2000 นี่ มีกลุ่มคนที่ที่กล้าที่จะทดลองและทำหนังที่เรียกว่า Mini DV ช่วงนั้นผมตื่นเต้นมากเพราะเทศกาลหนังต่างประเทศเขาจะรักประเทศไทยมากเพราะมีคนทดลองเยอะและมีคนรุ่นใหม่ที่ครีเอทีฟเยอะ แต่ช่วง 3-4 ปีนี้มันหายไป บุคลากรต่างๆจะหันเข้าสู่ค่ายหนังและทุนต่างๆมากขึ้น จึงทำให้ระบบการทำงานเปลี่ยนไปทำให้กลุ่ม’ใต้ดิน’นี้หายไป ในแง่ของคนดูก็มีวิธีการชมภาพยนตร์ที่หายไป ในปัจจุบันคนดูกลับตั้งคำถามถึงการทำหนังทดลองว่า’เราทำไปทำไม’ ซึ่งแตกต่างกับในอดีต เป็นนี่คือหนึ่งเหตุผลที่เรานำเสนอเทศกาลหนังทดลอง” เจ้ย อภิชาติพงศ์ หนึ่งในผู้ริเริ่มกล่าว
“อีกเหตุผลคือการชม การชมภาพยนตร์ที่สามารถดูผ่านจอที่บ้านได้ทำให้ผู้คนออกห่างจากกัน แต่ส่วนตัวของพี่เจ้ยเอง การดูหนังร่วมกันมันคือประสบการณ์ร่วมกัน แน่นอนว่าประสบการณ์ที่ได้ทำให้เราจดจ่อและสะกดจิตคนละแบบ แต่การอยู่ด้วยกันมันมีคุณค่ามาก และเรากำลังทำให้เกิดพื้นที่และกิจกรรมที่ทำให้คนสามารถเจอกันได้ หรือ ‘Connective Experience’ “