อัพเดตชีวิตที่เติบโตและบาลานซ์ขึ้นกับสองหนุ่ม เต-ตะวัน และ นิว-ฐิติภูมิ – L’Officiel Thailand
เต-ตะวัน และนิว-ฐิติภูมิ เป็นสองนักแสดงที่เราแทบไม่ต้องแนะนำอะไรมากแล้ว เพราะแฟนๆ คงจะได้เห็นหน้าค่าตาพวกเขาจากงานพิธีกร ซีรีส์ ละคร คอนเสิร์ต ไปจนถึงงานอีเวนต์แฟชั่นต่างๆ นับตั้งแต่โด่งดังเป็นที่จับตามองจากเรื่อง Dark Blue Kiss และเปิดประตูไปสู่การทำงานต่างๆ มากมาย มาวันนี้ทั้งสองคนได้กลับมาแสดงด้วยกันอีกครั้งในซีรีส์เรื่อง ‘บ้านหลอน On Sale’ หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘Peaceful Properties’ ของ GMMTV ซึ่งนิวเล่วว่า “มันไม่ใช่แค่ซีรีส์เกี่ยวกับผี แต่มันมีหลายมิติมาก โดยเฉพาะเรื่องของความสัมพันธ์กับกลุ่มแก๊งเพื่อน ซึ่งมีเรื่องของผีมาเป็นปมให้เพื่อนๆ ได้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ไปด้วยกัน เรียนรู้ร่วมกัน และให้ความสัมพันธ์ของเพื่อนทั้งสี่คนนี้แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ”
ในเรื่องนี้ นิวแสดงเป็นโฮม ทายาทตระกูลใหญ่ที่รับมรดกอสังหาริมทรัพย์มาจากคุณปู่ “คาแร็กเตอร์ของโฮมเป็นคนโผงผาง แต่จริงๆ คือข้างในเป็นคนจิตใจดี” ส่วนเต รับบทพีช เชฟหนุ่มซึ่งดันมาประสบเหตุให้เห็นผีจนทำงานที่รักต่อไปไม่ได้ แต่เมื่อมาเจอกับโฮม ก็ได้นำเอาสกิลนั้นมาใช้ประโยชน์ในการปราบผี และได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองและคนรอบข้าง “ผมไม่เคยแสดงอะไรแบบนี้ คือมันครบทุกรสจริงๆ และอารมณ์มันมีหลายสีมากๆ”
ซีรีส์เรื่องนี้ยังทำให้ทั้งเตและนิวได้ทำงานกับเพื่อนๆ ที่สนิทกันมาตั้งแต่เข้าวงการใหม่ๆ ทั้ง แจน พลอยชมพู และมุก วรนิษฐ์ เลยเป็นการทำงานที่มีความสนุกมากๆ รวมถึงการทำงานกับผู้กำกับ โดม-จารุพัฒน์ กันนุลา นิวยกเครดิตความลงตัวให้กับผู้กำกับ “ปกติเวลาดูละคร ผมชอบดูการตัดต่อ ผมว่าเรื่องนี้การตัดต่อและการเดินเรื่องมันพอดี ทำให้ดูง่าย ใครที่อยากดูอะไรสนุกๆ ก็ไม่อยากให้พลาดเลยครับ”
ทั้งสองคนผ่านผลงานการแสดงมาแล้วหลายเรื่อง มีอะไรที่อยากแสดงอีกไหม
นิว: “หนังบู๊ครับ ผมยังไม่ได้แสดงเลยนะ อยากบู๊แบบตีลังกา ปีนกำแพง โหนสลิงจริงจังบ้าง”
เต: “อยากเล่นหนังซอมบี้ หรือ Stranger Things อยากเล่นหนังลี้ลับ ส่วนบู๊ขอแค่ประมาณนึงก็พอครับ (หัวเราะ)”
มองเส้นทางในวงการบันเทิงเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านอย่างไรบ้าง
นิว: “สดใสมากๆ ครับ เหมือนเพิ่งเข้าวงการ (หัวเราะ)”
เต: “ในตอนนี้เราไม่ได้วิ่งเร็วๆ แค่เดินสบาย เลือกทำงานที่อยากจะทำ ให้ตัวเองอินและจอยๆ กับงาน เมื่อก่อนเราอาจจะทำเยอะไปหมด ส่วนช่วงหลังๆ เริ่มช้าลง เลยมีเวลาละเมียดละไมกับมันมากขึ้น อาจจะเพราะโตขึ้นด้วยครับ ถ้าเป็นสมัยก่อนเราจะตอบรับทุกโอกาสเพื่อดูว่าเราทำอะไรได้บ้าง ชอบหรือไม่ชอบ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าตัวเราเป็นสไตล์ไหน”
นิว: “คือเราทำงานมาพักนึงแล้ว โตขึ้นก็เลยเข้าใจ มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น มองเห็นภาพตัวเองชัดขึ้น เลยมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ใส่ความคิดเห็นลงไปในการทำงานนั้นๆ ทำให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ในฐานะนักแสดง ทั้งสองวัดความสำเร็จของอาชีพนี้จากอะไร
เต: “ผมคิดว่าคนที่ดูคงได้อะไรจากงานที่เราทำ ไม่จำเป็นว่าต้องให้คุณค่าเท่านั้น ทุกงานต่างก็มีฟังก์ชั่นของมัน บางงานทำเพื่อความบันเทิงซึ่งก็เป็นฟังก์ชั่นอย่างหนึ่งนะ บางคนอาจจะมองว่ามันไม่มีสาระ แต่มันก็เหมือนเวลากินอาหาร เราก็ไม่ได้กินแต่ของที่มีประโยชน์อย่างเดียว ถ้างานมันตอบโจทย์ฟังก์ชั่น เตว่ามันก็สำเร็จแล้วครับ”
นิว: “ผมมองคล้ายๆ เตนะ คือมันมองได้หลายมุม ทั้งในคุณค่าของมันว่าให้อะไรแก่คนดู แต่อีกแง่ก็คือคนจะดูไหม การดึงคนให้มาดูได้ก็เป็นความสำเร็จอีกแบบ แต่สำหรับผม อยากให้มันเกิดขึ้นทั้งสองด้านนะ เพราะถ้าทำงานออกมาดีมาก แต่ไม่มีคนเสพ มันก็ไม่ได้อะไร อยากให้มันควบคู่ไปด้วยกัน”
มาจนถึงตอนนี้ เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตให้บาลานซ์อย่างไร
เต: “สำหรับเต คิดว่าบาลานซ์ขึ้นนะ มันมีช่วงก่อนหน้านี้สักปีสองปี เหมือนเราวิ่งมาโดยตลอดซึ่งมันสะท้อนออกมานะ อย่างการที่เรามีปัญหาเรื่องนอน ก็เลยมีช่วงหนึ่งที่ขอหยุดไปเดือนนึง ขอไม่คิดอะไรเลย พอได้พักก็นอนหลับดีขึ้นมาก ทำให้คิดว่าที่ผ่านมาเราไม่รู้ตัวเลยว่าทำงานเหนื่อย คือถึงเราจะไม่ได้รู้ตัวหรือพูดออกมาว่าเครียด แต่ร่างกายมันแสดงออกเลยว่าเครียด เหมือนตัวเราชินกับความเหนื่อยไปแล้ว ทำให้คิดว่าต้องหาอะไรทำที่มันดีต่อร่างกาย ออกกำลัง เปลี่ยนบรรยากาศไปเจออะไรใหม่ๆ เพราะงานที่เราทำมันใช้ความรู้สึก ใช้ใจ และความคิดสร้างสรรค์เยอะ คือต้องหาเวลาพักเรื่อยๆ แต่เตว่ามันก็ยากเพราะอาชีพนี้มันเป็นเรื่องของโอกาสที่เข้ามา ซึ่งมันไม่แน่ไม่นอน”
แล้วตอนหยุดพักแรกๆ มันโอเคไหม เพราะเราชินกับชีวิตที่มีแต่งานไปแล้ว
เต: “เตมีอะไรทำเยอะมาก เขียนเป็นหน้ากระดาษว่าจะทำอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงาน สิ่งที่เราอยากทำแต่ไม่มีเวลาจะทำ อย่างจัดของ เรียงของในบ้าน สลับไปเล่นเกม ไปเจอหลาน ไปต่างจังหวัดกับครอบครัว แค่นี้ก็หมดเดือนแล้ว แล้วยังตั้งใจไปต่างประเทศกับเพื่อนๆ ซึ่งตอนจะไปก็คิดว่าไม่อยากไปเพราะอยู่บ้านยังไม่สาแก่ใจเลย แต่ก็ทำให้เราได้ใช้ชีวิตหลากหลายขึ้น”
แล้วสำหรับนิวล่ะ บาลานซ์อย่างไร
นิว: “มันยากมากเลยที่จะบาลานซ์ เพราะขึ้นอยู่กับโอกาสที่เข้ามา บางโอกาสมันดีมาก ถึงเราจะแทบไม่ว่างแต่ก็อยากจะคว้าไว้ และงานบางอย่างมันก็ทำได้ช่วงวัยนึงเท่านั้น เลยคิดว่ามันบาลานซ์ยากประมาณนึงเลยในเรื่องงาน แต่มาถึงจุดนี้ เราโตขึ้น และรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ก็อาจจะทำให้จัดการได้ดีขึ้น ซึ่งการรู้จักตัวเองมากขึ้นน่าจะสำคัญ ประสบการณ์มันสอนให้เราคิด จะปฏิบัติตัวกับคนอื่นยังไง อยู่กับสังคมต่างๆ ยังไงให้มีความสุขและไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แล้วก็อาจจะไปถึงว่าทำอะไรให้สังคมได้บ้าง หลังๆ ผมคิดอยู่เสมอว่าต้องให้มากขึ้น แบ่งปันมากขึ้น ไม่รู้ว่าทำไมถึงเริ่มคิดแบบนี้ แต่อาจจะเพราะว่าทำให้เรามีความสุขมากขึ้นด้วยก็ได้”
มีวิธีดูแลจิตใจตัวเองอย่างไรบ้าง ถ้าไม่ใช่ด้วยของกินหรือนอน
เต: “หาวครับ (หัวเราะ) แต่จริงๆ ก็ไม่อะไรมากนะ แค่อยากออกไปดูท้องฟ้าสวยๆ ตามป่าเขา ไปสูดอากาศดีๆ อยากนั่งเฉยๆ และซึมซับฟังเพลงไปด้วย มันคือการไปรับเอเนอร์จี้ น่าจะเป็นไอเย็นของป่าที่เราชอบ ซึ่งมันมากกว่าการไปทะเลนะ การไปทะเลสำหรับเต คือการไปใช้เอเนอร์จี้มากๆ ซึ่งคนมักชวนเราไป (หัวเราะ) คือเวลาเราเสนอไอเดียกิจกรรมประจำปีกับแก๊ง แล้วเราเสนอให้ไปป่า ไม่มีใครซื้อไอเดียเลย คือต้องหาเพื่อนที่ชอบแนวเดียวกัน”
นิว: “นี่ก็คล้ายๆ เตนะ คิดว่าบางทีการไปเที่ยวมันไม่ใช่การพัก แต่มันคือการใช้พลังงาน เหมือนไปทำภารกิจ เวลาเห็นในตารางว่าจะไปเที่ยวหัวหิน มันเหมือนไปทำงานเลย จริงๆ วิธีพักที่ดีที่สุดคือการอยู่บ้าน ฟังเพลง จัดของต่างๆ เพราะตอนนี้ไม่มีที่จะนอนแล้ว มีแต่ซื้อของเข้าบ้านตลอดเวลา การจัดให้บ้านเป็นระเบียบน่าจะเป็นการพักผ่อนที่ดี”
คือตอนนี้ทั้งสองคนกำลังอินกับการจัดข้าวของในบ้านเหรอ แบบในเรื่อง How to ทิ้ง หรือเปล่า
นิว: “ผมว่ามันไม่ง่ายนะ การจัดของมันใช้เวลามากๆ ต้องมีเวลาติดๆ กันหลายชั่วโมง ซึ่งมีเวลาเท่าไรก็ไม่พอ อย่างน้อยต้องมีเวลาสามวัน หนึ่งวันกระจายของ อีกวันคัดของ อีกวันเก็บของเข้าที่ ถ้าไม่มีเวลาถึงสามวันจะไม่ทำ”
เต: “พูดได้เลยว่า exactly the same เลย ถ้าไปเล่นฟิตเนสนอกบ้าน กลับมาก็จะไม่ทำแล้ว จะทำในวันที่ว่างจริงๆ”
ถ้าให้เปรียบชีวิตตอนนี้เป็นหนังหรือละคร
เต: “น่าจะเป็นซิตคอม อารมณ์แบบแต่ละมื้อแต่ละเดย์ (หัวเราะ) ซิตคอมมันจะเป็นตอนๆ เจอนั่นนี่ เจอคนที่หลากหลายในแต่ละวัน เหมือนเขาเป็นแขกรับเชิญในชีวิตเรา ส่วนคนที่สนิท ออฟ กัน เต นิว คือเจอประจำก็จะเป็นเหมือนตัวละครหลัก”
นิว: “ผมนึกถึง The Secret Life of Walter Mitty คือเป็นคนมีจินตนาการในหัวและหลุดๆ ไปบ้าง คิดนั่นคิดนี่เยอะ แต่อาจจะไม่ได้ทำ แต่สุดท้ายก็ดำเนินไปตามเส้นทางชีวิตของมัน”
คำที่เหมาะจะนิยามตัวเองในอดีตจนถึงวันนี้
กรอบ: “(หลังจากคิดอยู่สักพัก) น่าจะคำว่า ‘กรอบ’ คือเราเติบโตมากับวิถีในกรอบแบบสุดๆ ตรงข้ามกับวิถีของวงการบันเทิงโดยสิ้นเชิงเลย พอเข้าวงการนี้มันทำให้เราเปิดมากขึ้น เปิดทั้งกับตัวเองและคนอื่นๆ ซึ่งเตว่ามันดีกับชีวิตเราเอง มันทำให้เราพร้อมจะเรียนรู้ รับฟัง เมื่อก่อนเราอาจจะมีกรอบความเชื่ออยู่ ต้องตั้งใจเรียน ต้องเรียนเก่ง ต้องไปทำงานแบบนี้ เหมือนเราเป็นเครื่องจักร แต่การทำงานในวงการบันเทิงทำให้ได้เจอคนหลากหลาย มีสิ่งที่ชอบต่างกัน มีคุณค่าในตัวเอง และค่านิยมที่ไม่เหมือนกัน พอเราเรียนรู้ในจุดนั้น มันสอนให้เรามีความเป็นคนมากขึ้น ทำให้เราเปิด กล้าแสดงความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งมันอาจจะดีกับตัวเอง แต่อาจจะไม่ดีกับคนอื่น (หัวเราะ)”
นิว: “‘การเติบโต’ ตอนเด็กๆ โลกเราแคบ ไม่ได้มีอาชีพ ไม่ได้มีอะไรเป็นของตัวเอง ไม่ได้เห็นโลกกว้างขนาดนี้ แต่อาจจะเพราะมาทำอาชีพนี้ด้วย เลยทำให้ได้เจอคนหลากหลาย เห็นโลกมากขึ้น แล้วเราเป็นคนชอบพูดคุยกับผู้ใหญ่ เลยทำให้เราได้เรียนรู้จากเขาและเข้าใจโลกมากขึ้น”
สิ่งที่ขาดไม่ได้
นิว: “สุขภาพเลยครับ ทุกวันนี้ถึงยอมให้เวลากับการไปฟิตเนส เมื่อก่อนเราไม่ได้ใส่ใจขนาดนั้น แต่ ณ จุดนี้พอเริ่มอายุ 30 ผมให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกายเป็นอย่างแรกเลย รวมถึงสุขภาพการเงินด้วย”
เต: “สุขภาพครับ เป็นสิ่งที่เบสิกมากจริงๆ แต่เราอาจะไม่ได้ให้ความสำคัญจนกระทั่งเราเจ็บป่วย เตเคยป่วยจนไม่ได้ไปทำงานสำคัญงานหนึ่ง โดยที่เมื่อก่อนเราบ้างานมาก คิดว่าไม่มีใครทำแทนเราได้ แต่พอเราป่วยก็ทำให้ได้คิดว่าถ้าเราตาย คนอื่นก็ทำแทนได้อยู่ดี ตอนเราป่วยมันก็ไม่มีความสุขด้วย แล้วที่ขาดไม่ได้ก็คือเงินที่ต้องมีไว้รักษาตัวเอง แล้วจุดหนึ่งเราก็ต้องการคนรอบตัวเป็นกำลังใจที่ดีในการใช้ชีวิตแม้ว่าตัวเราจะชอบอยู่คนเดียว”
อยากให้คนจดจำว่า…
เต: “ผู้สร้างรอยยิ้ม”
นิว: “ในฐานะนักแสดง อยากให้คนจดจำว่าเราเป็นนักแสดงคุณภาพ”
ช่างภาพ : ปัณณทัต เอ่งฉวน
ช่างภาพวีดีโอ: พสิษฐา รุ่งรีชัยรา
บรรณาธิการแฟชั่น: วัชรชัย หนุนงาม
ผู้เขียนบทและโปรดิวเซอร์: พิมพ์พิไล บุญจง
ผู้ช่วยช่างภาพ: กฤษณพล เพชรจรัส, ณัฐพล มานสุขผล, ถวิล มานะจิต
ผู้ช่วยสไตลิสต์: ปณิธาน ประสงค์สันติ