Blog

ฟรีน สโรชา และ มาริโอ้ เมาเร่อ อัพเดตผลงาน ‘ไรเดอร์’ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของพวกเขา

ขมวดเรื่องราวส่งท้ายปีกับฟรีน-สโรชา นักแสดงดาวรุ่งมาแรงของวงการ และมาริโอ้ เมาเร่อ พระเอกที่โลดแล่นอยู่ในวงการนานเกือบยี่สิบปี พร้อมอัพเดตผลงาน ‘ไรเดอร์’ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของพวกเขา

ธันวาคมเป็นเดือนแห่งความสุขและการมุ่งมองสู่อนาคต จังหวะชีวิตอันเร่งรีบก็ค่อยผ่อนให้ช้าลงเพื่อซึมซับกับบรรยากาศที่จะเวียนมาปีละครั้ง ลอฟฟีเซียลมีโอกาสได้นั่งคุยสบายๆ กับฟรีน-สโรชา จันทร์กิมฮะ สาวน้อยนักแสดงรุ่นใหม่วัย 26 ปี ในโอกาสที่เธอกำลังจะมีผลงานภาพยนตร์ล่าสุดเรื่อง ‘ไรเดอร์’ โดยแสดงคู่กับมาริโอ้ เมาเร่อ ศิลปินมากประสบการณ์ที่แจ้งเกิดจากภาพยนตร์ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของฟรีนได้เป็นอย่างดีถึงแม้ผลงานในครั้งนี้จะไม่ใช่เรื่องแรกของเธอก็ตาม เพราะฟรีนรับบทนักแสดงนำครั้งแรกในซีรีส์เรื่อง ฟิตเปรี๊ยะ (2564) ก่อนจะโด่งดังเป็นพลุแตกจากซีรีส์เรื่อง ทฤษฎีสีชมพู ในปีต่อมา และยังเคยเล่นภาพยนตร์มาแล้วก่อนหน้านี้ในเรื่อง Uranus2324 (2567) แต่สิ่งที่จะสร้างความแตกต่างให้กับประสบการณ์ในวงการของเธอสำหรับผลงานครั้งนี้คือจังหวะการแสดงที่เปลี่ยนไป และการต้องรับบทเป็น ‘ผี’ ครั้งแรกในชีวิต

ชีวิตที่มองไม่เห็น

ความสดใสร่าเริงของฟรีนน่าจะเป็นคุณสมบัติหลักที่ผู้กำกับเลือกเธอให้มารับบทผีสาว ซึ่งค่อนข้างตรงกันข้ามกับคาแร็กเตอร์ของตัวละคร เรื่องนี้จึงเป็นความท้าทายครั้งใหม่ของเธอด้วย “ฟรีนกลัวผีระดับสูงสุดเลย”
เธอตอบคำถาม ตามด้วยเสียงหัวเราะเมื่อเราสงสัยว่าการถ่ายทำช่วงกลางคืนในสถานที่จริงนั้นสร้างความเป็นกังวลให้กับเธอไหม “ฟรีนเชื่อเรื่องโลกหลังความตายมากกว่าเชื่อว่ามีผี เพราะถ้าร่างกายเป็นธรรมชาติ
จิตวิญญาณของเราก็น่าจะเป็นพลังงานที่สามารถลอยล่องออกจากร่างได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคนเห็นผีอย่างที่เขาเล่ากัน ส่วนตัวไม่เคยเห็นผี แต่ที่กลัวเพราะไม่ชอบอะไรที่คาดไม่ถึง ไม่อยากรู้สึกแปลกไปจากสิ่งที่เป็นอยู่
เหมือนเราสร้างภาพในจินตนาการไว้เยอะ” นี่ล่ะคุณสมบัติของคนรุ่นใหม่ที่ตีความเรื่องเหนือธรรมชาติให้เข้าใกล้วิทยาศาสตร์ได้มากกว่าคนรุ่นก่อน “ปีที่แล้วอายุครบเบญจเพสก็มีคนถามว่าเชื่อไหม ตอบตรงๆ ว่าเชื่อบ้าง แต่สุดท้ายก็อยู่ที่เรามากกว่าว่าจะทำให้เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ฟรีนคิดว่าทุกวันที่มีชีวิตอยู่ก็จะมีทั้งเรื่องดีและไม่ดีเกิดขึ้น จะร้ายแรง เล็กหรือใหญ่ อยู่ที่เรามองมันยังไง เราทำตัวเองแบบไหน รับมือสิ่งนั้นได้ดีแค่ไหน อายุ 25 อาจเป็นช่วงเวลาที่กำลังเติบโตมากๆ เลยต้องเจอกับสิ่งที่คาดไม่ถึงก็ได้ แต่เชื่อไปก่อนไม่เป็นไร” เธอสิ้นสุดคำตอบพร้อมรอยยิ้ม

ในภาพยนตร์เรื่อง ‘ไรเดอร์’ ฟรีนรับบทเป็น พาย เจ้าของร้านซ่อมโทรศัพท์ที่บังเอิญไปรู้จักกับ นัท (มาริโอ้ เมาเร่อ) แม้ว่าคาแร็กเตอร์ของพายจะมีความใกล้เคียงกับความเป็นตัวของเธอมาก แต่อุปสรรคใหญ่ที่ฟรีน
ต้องก้าวข้ามให้ได้คือการเล่นเป็นผี “สิ่งที่ต้องเตรียมตัวมากๆ สำหรับเรื่องนี้คือความรู้สึก เพราะเราตีความว่าผีไม่ได้มีพลังงานเท่ากับคน แต่ก็รู้สึกได้ไม่ต่างกัน มันเลยยากเพราะตอนแรกๆ เราไม่รู้ว่าจะแสดงออกมายังไง
ถ่ายหลายเทคมาก เราคิดตลอดว่าถ้าไม่มีร่างกาย เหลือแต่จิตวิญญาณ เราจะสื่อสารกับคนอื่นยังไงให้เขารู้สึกแม้จะมองไม่เห็นเรา ฟรีนใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี สนุกมาก เป็นความท้าทายอีกหนึ่งเรื่องเลย”

การเติบโตที่ยิ่งใหญ่

“ฟรีนติดตามพี่โอ้มาตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก” ใครจะไปเชื่อว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้มาเล่นกับพระเอกเบอร์ต้นของเมืองไทย “พี่โอ้เก่งมาก สามารถรักษาระดับความสนุกในการทำงานได้ตลอดเวลา ซีนสุดท้ายก็ยังสดใส เวลาเข้าฉากด้วยกันก็รู้สึกสนุกมาก รับส่งคาแร็กเตอร์ดีตลอด มันง่ายต่อการถ่ายทำและความรู้สึกของตัวละครด้วย พี่โอ้เป็นสุภาพบุรุษมาก เขาให้เกียรติการเป็นน้องเล็กของเรา เวลาอยู่ด้วยกันในกองก็มีอะไรตลกๆ มาเล่นด้วยเสมอ น่ารักแบบที่เราเห็นในละครหรือภาพยนตร์เลย” ความประทับใจส่งผ่านสายตาของฟรีนที่เธอรู้สึกอย่างนั้นจริง รวมไปถึงความรู้สึกภาคภูมิใจในการทำงานครั้งนี้ด้วย “มันไม่ใช่แค่การเล่นให้สนุก แต่ฟรีนรู้สึกสนุกไปกับการทำงานมากๆ ได้ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ การรับบทเป็นเจ้าของร้านซ่อมโทรศัพท์ก็ต้องไปเรียนแบบจริงจัง
ที่สำคัญคือได้เรียนรู้จากคนรอบข้างเยอะมาก ทั้งพี่ๆ นักแสดงรวมถึงผู้กำกับ เหมือนได้มายืนอยู่ตรงที่มีแต่คนเก่ง เลยอยากพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัน ให้เป็นแบบพี่ๆ เขาได้ เพราะเราเหมือนได้รับพลังงานดีๆ ทั้งวันเลย
ตอนทำงาน บางครั้งต้องถ่ายตั้งแต่เช้ายันดึก หรือบางครั้งก็ดึกยันเช้า แต่ฟรีนรู้สึกว่าพลังแต่ละคนไม่ดร็อปเลย การทำงานให้มีประสิทธิภาพต้องแบบนี้ล่ะ เลยอยากเป็นอย่างนี้ต่อไป คิดว่าตอนนี้ตัวเองเติบโตขึ้นอีกหนึ่งสเต็ปแล้ว”

ฟรีนยอมรับว่าการทำงานครั้งนี้เหนื่อยมาก แต่สนุก มีความสุข และอยากออกไปทำงานทุกวัน ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้เธอได้รู้ว่าความเหนื่อยกายกับเหนื่อยใจมีวิธีฟื้นฟูคนละแบบ และถ้าวันนี้ยังไม่สามารถโอบอุ้มตัวเองขึ้นได้ก็ไม่ต้องเร่งรัด แค่เข้าใจ และรอเวลาที่ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม “สุขภาพหัวใจเป็นสิ่งสำคัญมากกับฟรีน พักร่างกายแล้วต้องไม่ลืมว่าหัวใจก็ต้องรักษา บางครั้งเราเสพสิ่งไม่จำเป็นเยอะเกินไป
ถ้าช่วงไหนไม่พร้อมก็จะเลือกทำ Social Detox ไปเลย หาอย่างอื่นทำ ให้เราได้อยู่กับตัวเองจริงๆ เพราะบางครั้งเราลืมการเป็นตัวเองไป ลองให้เวลาทบทวนและนั่งคิด อาจเจอบางอย่างที่คิดไม่ถึง หรือเรื่องนี้ไม่เคยไตร่ตรองมาก่อน” ฟรีนบอกว่าปีนี้เป็นปีที่เธอสามารถบาลานซ์ชีวิตได้ดีกว่าปีที่แล้ว เพราะเติบโตขึ้นและมีความแข็งแรงทั้งกายและใจ “พลังมันเกิดจากความรักที่ทุกคนส่งมาให้ ฟรีนชอบเวลาที่ทำงานอะไรออกไปแล้วคนดูได้ค้นพบเรามากขึ้น รู้สึกว่าเรามีความสามารถ เราทำได้ เรามีคนซัพพอร์ต แฟนคลับเป็นเหมือนครอบครัว ยินดีมากๆ ที่ได้มาเจอกัน
มันยากมากนะกับการที่คนหนึ่งจะมารักกันโดยที่เขาไม่ได้มองด้านลบในตัวเรา
ฟรีนยังอยากอยู่ตรงนี้เพื่อให้เขามีความสุขกับเราต่อไป ถึงแม้ว่าเราจะเป็นแค่หนึ่งส่วนเล็กๆ ที่ทำให้พวกเขามีความสุข แค่นั้นก็พอแล้ว”

ฟรีนทิ้งท้ายว่าเธอไม่ได้กำหนดกรอบต่ออนาคตในวงการบันเทิง เพราะทุกอย่างที่เข้ามาถือเป็นโอกาสที่ดี เธออยากลองทำทุกอย่างที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิต ไม่อยากทิ้งสักโอกาส และไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดคืออะไร หมายถึง
ไม่ได้คาดหวังว่าเป้าหมายต้องมีหน้าตาเป็นอย่างไร แค่หวังว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดีที่สุด พรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ได้ แต่จะทำเต็มที่ให้เหมือนกับวันนี้

ธันวาคมเป็นฉากหลังของภาพยนตร์วัยรุ่นโรแมนติกเรื่อง รักแห่งสยาม (2550) ผลงานแจ้งเกิดของมาริโอ้ เมาเร่อ ที่หลายคนยังคงจำบท โต้ง ได้แบบไม่ลืม  เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกภายในและความเปลี่ยนแปลงรอบตัว หลังจากนั้นเราก็เห็นหน้ามาริโอ้อยู่ตลอดเวลาทั้งจากบทที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ และการแสดงทั้งในทีวีและภาพยนตร์ นอกจาก รักแห่งสยาม (2550) เขายังฝากผลงานระดับขึ้นหิ้งไว้หลายเรื่อง เช่น สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก (2553) ในบท พี่โชน และพี่มากพระโขนง (2556) ในบท พี่มาร์ค ซึ่งทำสถิติเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในประเทศไทยอีกด้วย เราชวนเขาคุยถึงประสบการณ์ที่ผ่านมากว่า 17 ปีในวงการบันเทิง ความท้าทายในผลงานล่าสุด และจุดอิ่มตัวในวงการบันเทิงของเขา

อ่อนเยาว์ตลอดไป

“ผมไม่มีทางให้ใครมาเรียกว่าเป็นนักแสดงรุ่นใหญ่เด็ดขาด เพราะผมยังเด็กอยู่!” เขาตอบกลับทันทีอย่างอารมณ์ดีเมื่อเราเริ่มบทสนทนาด้วยการให้เกียรติเขาว่าเป็นรุ่นพี่ในวงการแล้ว แม้จะผ่านงานแสดงมามาก
แต่เรื่องนี้ก็เป็นความท้าทายครั้งใหม่ของมาริโอ้ในหลายๆ ด้าน “ผมเจอ พี่กังฟู (นิติวัฒน์ ชลวณิชสิริ – ผู้กำกับ) ตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่องแรกเลย ตอนนั้นเขาเป็นผู้ช่วยผู้กำกับเรื่อง รักแห่งสยาม พอมาเรื่องนี้เขาได้กำกับอีกครั้งก็เลยชวนมาทำงานร่วมกัน” เขาเริ่มเล่าถึงที่มาของการเป็นส่วนหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง ‘ไรเดอร์’ แต่กว่าจะพาตัวเองมาถึงวันนี้ มาริโอ้ไม่ได้ตกหลุมรักในการแสดงตั้งแต่ผลงานเรื่องแรกที่เขาเล่น “พูดตรงๆ ว่าตอนเข้าวงการก็อยากมาหาโอกาสนั่นล่ะครับ อยากมาตักตวงเอาไปใช้จ่ายเอาไปตามความฝันของเรา พอทำงานได้สักสองปีก็มีโอกาสเรียนการแสดงกับหม่อมน้อย (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล) ท่านเป็นคนทำให้ทัศนคติของผมเปลี่ยนไป ให้ผมรู้สึกว่าการเป็นนักแสดงมีคุณค่า มีเกียรติ เป็นอาชีพที่สนุก และได้เป็นตัวละครหลายตัวเลยในชีวิต ซึ่งคนอื่นอาจจะได้เป็นแค่ตัวของเขาเอง” นี่เป็นความน่ารักของมาริโอ้ที่เขาพาเราย้อนกลับไปถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต และพูดถึงคนที่มีส่วนสำคัญในชีวิตเขาประหนึ่งเป็นบทไหว้ครู ก่อนที่เราจะสนทนากันในหัวข้อถัดไป

“จริงๆ เป้าหมายในการทำงานของผมเรียบง่ายมาก คือแค่อยากให้คนดูได้อะไรจากสิ่งที่ผมทำ ต่อให้ไม่ได้ความรู้ แต่ได้ความสนุก มีความสุข สำหรับผมถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว รายได้ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่เรามองลึกๆ ในการเป็นนักแสดงคืออยากสร้างตัวละครให้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผมเชื่อว่าผมสร้างพลังบวกให้กับคนดูได้ พวกเขาอาจจะหัวเราะกับมุกง่ายๆ ของเรา แค่นั้นก็วิเศษแล้ว” คำตอบของเขาคือมุมมองจากภายนอกที่เห็นวงการบันเทิงทั้งภูมิทัศน์ เช่นเดียวกับแรงผลักดันที่ทำให้เขาอยากตื่นขึ้นมาทำงานทุกวัน นั่นคือการได้รับบทบาทที่ไม่ซ้ำกัน “ต่อให้มันจะเป็นวัยรุ่นเหมือนกัน แต่เราได้เล่นหลายๆ แบบ มันก็แตกต่างกัน บางคนอาจรู้สึกว่าหนังวัยรุ่นอีกแล้ว แต่ผมมองว่ามันมีหลายมิติ หลายแง่มุม แต่ละตัวละครก็ไม่เหมือนกัน”

ความท้าทายใหม่

มาริโอ้และฟรีนผ่านเวิร์กช็อปเพื่อสร้างเคมีร่วมกันก่อนถ่ายทำจริง “ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีมากเลย ทั้งตอนเข้าฉากกับพี่โน่ (ภูวเนตร สีชมภู) และพี่อาร์ต (มารุต ชื่นชมบูรณ์) เพราะต้องรับบทเป็นไรเดอร์ส่งอาหารแก๊งเดียวกัน
ส่วนน้องฟรีนเป็นคนที่ตั้งใจทำงานมาก มีความเป็นนักสู้อยู่ในตัว เพราะเราถ่ายตอนกลางคืนกันเยอะ ดึกขนาดไหนก็ยังสดใสได้ มีซีนอารมณ์ที่เราต้องเล่นด้วยกัน ฟรีนจะตั้งใจตลอด ผมประทับใจน้องมาก” ทว่าอุปสรรคที่
แท้จริงของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้กลับเป็นโลเคชั่นที่ผู้กำกับเลือกใช้สถานที่จริงทั้งหมดเพื่อสร้างอารมณ์ร่วมให้กับทั้งนักแสดงและคนดู “โลเคชั่นที่จำได้แม่นเลยคือโรงพยาบาลร้างแห่งหนึ่งกลางเมือง มีกลิ่นของโรงพยาบาลอบอวลอยู่ทุกอย่างสมจริงแบบไม่ต้องเซ็ต ยิ่งในห้องเก็บศพคือ ใช่เลย กับอีกที่คือบ้านร้างซึ่งท้าทายผมไม่ต่างจากโรงพยาบาลร้างเลย แต่นี่ล่ะที่ทำให้ผมยังสนุกกับการทำงานอยู่” เขาขยายประโยคสุดท้ายว่า “ผมไม่เคย
มองเลยนะว่าตัวเองจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน แต่มองว่าทุกงานเป็นความท้าทายใหม่ ไม่เคยมองว่าตอนนี้อยู่เลเวลไหนหรือใกล้สิ้นสุดเส้นทางการทำงานแล้วหรือยัง เพราะการเป็นนักแสดง เวลาไปถ่ายเรื่องใหม่ก็ต้องรีเซ็ตให้ตัวเองเป็นศูนย์ อาจมีประสบการณ์ที่เคยเจอมาแต่ก็ต้องทิ้ง มันไม่ใช่แค่เพื่อตัวเราเองแต่ต้องเคารพทุกคนที่ทำงานด้วยกัน โดยเฉพาะกับคนดูที่อยากเห็นอะไรใหม่ๆ จากตัวเรา”

ความสำเร็จที่สำคัญ

ในยุคที่แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเข้ามาเปลี่ยนนิสัยผู้บริโภคให้ลดการเข้าโรงหนัง เขายังเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความเชื่อว่าประสบการณ์ทั้งสองอย่างนี้ไม่สามารถทดแทนกันได้ “มันมีเสน่ห์ต่างกัน ผมเป็นคนชอบดูในโรงเพราะสมาธิ
มันจดจ่อและหลุดเข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆ ทุกวันนี้เวลาได้ข่าวว่ากระแสการดูภาพยนตร์กลับมา หรือมีหนังไทยเรื่องไหนได้เสียงตอบรับที่ดี ผมดีใจนะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนที่ประสบความสำเร็จก็ทำให้วงการหนังกระเตื้องและไปต่อได้” ในฐานะที่เขาเป็นส่วนหนึ่งที่ได้เห็นการเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วในวงการ อะไรเป็นเคล็ดลับความสำเร็จที่ทำให้มาริโอ้ยังคงอยู่ในวงการบันเทิงได้อย่างมั่นคงจนถึงทุกวันนี้ “อาจารย์ผมสอนว่า งานนี้
มันมีเกียรติ ถ้าเราไม่ให้เกียรติ ก็จะไม่มีเกียรติ ทัศนคติต่อการทำงานเป็นเรื่องสำคัญ โอ้เจออาจารย์ที่ดี เจอทีมงานและคนรอบข้างที่ดี พากันไปในทางที่ดี เดี๋ยวนี้ทุกอย่างเปิดกว้างมากขึ้น ความดังก็เกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน มีเวทีให้แสดงออกเยอะขึ้น ผมว่าเด็กรุ่นใหม่เก่ง มีความคิดความอ่าน ถ้าถามว่าผมเคารพคนแบบไหน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่น่ารักทั้งตอนทำงานและในชีวิตจริง” เขาเงียบคิดไปสักพัก “ผมมองว่านักแสดงบางคนที่เขาอยู่มานาน
ตั้งแต่ตอนผมเข้าวงการจนถึงตอนนี้ มันคือคุณภาพของการเป็นนักแสดง เขาเคารพงานตัวเอง แม้ว่าอายุจะเยอะขึ้น หรือเปลี่ยนเป็นตัวละครอื่น ก็ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ ฉะนั้นการรักษามาตรฐานและคุณภาพจะทำให้โลกยังต้องการเราอยู่ ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม”

ช่างภาพ : ปัณณทัต เอ่งฉวน
ผู้ช่วยช่างภาพ: ถวิล มานะจิต, ณัฐพล มานสุขผล
ผู้กำกับแฟชั่น : ดนีนาถ บูรกสิกร
ผู้ช่วยสไตลิสต์: เจตวัฒน์ วิริยะรัตน์, นพมาศ คมสม
ผู้เขียน : นีราช คิม

Related Articles

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Back to top button