Audemars Piguet เปิดตัว Forged Carbon สีใหม่ในแนวคิด Royal Oak Split-Seconds Chronograph GMT Large Date
Audemars Piguet เปิดตัววัสดุคัลเลอร์ฟอร์จคาร์บอนชนิดใหม่ซึ่งทางแบรนด์พัฒนาขึ้นเองด้วยเทคโนโลยีซีเอฟที (Chroma Forged Technology) โดยมีลูกเล่นพิเศษอยู่ที่ไฟเบอร์สีน้ำเงินแบบเรืองแสงซึ่งแทรกอยู่ในเนื้อวัสดุแบบไม่เหมือนใคร
วัสดุใหม่นี้ได้รับการพัฒนาภายในโดยผู้ผลิตเครื่องบอกเวลาชั้นโอต์ของสวิสโดยใช้เทคโนโลยี Chroma Forged โดยมีเส้นใยเรืองแสงสีน้ำเงินเพื่อเพิ่มสุนทรียภาพแห่งความสนุกสนานของนาฬิกา
สัมผัสสีสันอันละเอียดอ่อน
คัลเลอร์ฟอร์จคาร์บอนเป็นวัสดุชนิดใหม่ที่ Audemars Piguet ผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยีซีเอฟทีที่มีการจดสิทธิบัตรคุ้มครองเป็นที่เรียบร้อย ลักษณะภายนอกจะดูมีสีดำเหมือนกับฟอร์จคาร์บอนที่เราคุ้นเคยกันแต่เดิมโดยมีการเพิ่มเติมลวดลายที่เป็นสีสันเข้าไป อย่างไรก็ดี คัลเลอร์ฟอร์จคาร์บอนนี้แตกต่างจากคาร์บอนในยุคก่อนๆ ตรงที่เทคโนโลยีซีเอฟทีช่วยให้ Audemars Piguet สามารถย้อมสีเนื้อคาร์บอนไฟเบอร์ได้โดยตรงแทนที่จะต้องย้อมสีวัสดุเรซินที่ผสมลงไปด้วยเหมือนแต่ก่อน และยังสามารถย้อมเนื้อคาร์บอนไฟเบอร์ด้วยสีต่างๆ ได้หลากหลายด้วย ไม่เพียงเท่านั้น เทคโนโลยีซีเอฟทียังพัฒนาไปถึงจุดที่คัลเลอร์ฟอร์จคาร์บอนที่ผลิตได้จะมีรูพรุนในเนื้อวัสดุน้อยกว่า ส่งผลให้วัสดุนี้มีความทนทานต่อความร้อน ความชื้น แรงสั่นสะเทือนและการขีดข่วนยิ่งกว่าฟอร์จคาร์บอนในรูปแบบเดิมๆ
Audemars Piguet ใช้เวลาวิจัยและพัฒนาคัลเลอร์ฟอร์จคาร์บอนเป็นเวลานานถึง 5 ปี การผลิตวัสดุชนิดนี้จำเป็นต้องใช้กระบวนการที่มีความแม่นยำเป็นอย่างมาก ขั้นตอนแรกคือการตัดคาร์บอนไฟเบอร์เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อนำไปเคลือบด้วยเม็ดสีก่อนที่จะจัดวางด้วยมือลงในแม่พิมพ์ตามดีไซน์ที่ต้องการแล้วจึงเทเรซินทับจนได้เนื้อวัสดุหนึ่งชั้น จากนั้นจึงทำชั้นตอนไปซ้ำอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งแม่พิมพ์เต็ม วัสดุที่อยู่ในแม่พิมพ์จะถูกบีบอัดเพื่อไล่ฟองอากาศออกก่อนที่จะถูกนำเข้าเครื่องอบความร้อนสูงด้วยไอน้ำเพื่อให้แห้งภายใต้แรงดันเป็นเวลานานประมาณ 10 ชั่วโมง ก้อนวัสดุคาร์บอนที่สำเร็จออกมาจะถูกนำไปกลึงเป็นชิ้นส่วนที่ต้องการอย่างเช่นตัวเรือนนาฬิกา ทั้งนี้ เนื่องจากกระบวนการผสมวัสดุนั้นทำด้วยมือ ลวดลายที่ปรากฏบนชิ้นงานแต่ละชิ้นจึงมีความแตกต่างกันเล็กน้อยจนเกิดเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
คาร์บอนฟอร์จที่มีสีใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้เทคโนโลยี Chroma Forged (CFT) ที่ได้รับสิทธิบัตร เป็นการผสมผสานรูปลักษณ์สีดำเข้มของฟอร์จคาร์บอนแบบดั้งเดิมเข้ากับสีสันที่ละเอียดอ่อน อย่างไรก็ตาม มันแตกต่างจากคาร์บอนรุ่นก่อนๆ ตรงที่ CFT ทำให้สามารถใส่สีให้กับคาร์บอนไฟเบอร์ได้โดยตรงแทนเรซิน และมีตัวเลือกสีให้เลือกมากมาย และด้วยเทคโนโลยีที่ได้รับการปรับปรุงนี้ ฟอร์จคาร์บอนที่ทำสีใหม่จึงมีรูพรุนน้อยลง ดังนั้นจึงทนทานต่อความร้อน ความชื้น การกระแทก และรอยขีดข่วนได้ดียิ่งขึ้น
ผลิตภัณฑ์จากการวิจัยและพัฒนาเป็นเวลา 5 ปี คาร์บอนหลอมสีของ Audemars Piguet ผลิตผ่านกระบวนการที่เข้มงวด ขั้นแรกคาร์บอนไฟเบอร์จะถูกตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ลงสีด้วยเม็ดสีและวางลงในแม่พิมพ์ด้วยตนเองตามการออกแบบที่ต้องการ ก่อนที่จะเทเรซินเพื่อสร้างเป็นชั้นเดียว ชั้นถัดไปจะเกิดขึ้นในลักษณะนี้จนกว่าแม่พิมพ์จะเต็ม เนื้อหาของแม่พิมพ์จะถูกบีบอัดในเวลาต่อมาเพื่อเอาฟองอากาศออก จากนั้นนำไปใส่ในหม้อนึ่งความดัน และนำไปปรุงภายใต้ความกดดันเป็นเวลาประมาณ 10 ชั่วโมง จากนั้นจะสามารถตัดเฉือนบล็อกคาร์บอนที่ได้เพื่อสร้างส่วนประกอบที่จำเป็น เช่น ตัวเรือนนาฬิกา เมื่อขั้นตอนการผสมทำด้วยมือ รูปแบบเล็กๆ น้อยๆ จะทำให้แต่ละชิ้นมีลวดลายที่แตกต่างกันเล็กน้อย ทำให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
สุนทรียศาสตร์แห่งอนาคตและแบบเปิดกว้าง
Royal Oak Concept Split-Seconds Chronograph GMT Large Date คือนาฬิการุ่นแรกที่ได้ใช้วัสดุซีเอฟทีคาร์บอนนี้ในการผลิตตัวเรือนชั้นกลางที่มีขนาด 43 มม. หน้าปัดแบบฉลุของเรือนเวลารุ่นนี้มีรายละเอียดสีน้ำเงินอิเล็กทริกบลูที่สะท้อนสีน้ำเงินของลวดลายบนตัวเรือนและตัดกับตัวเครื่องนาฬิกาที่มีชิ้นส่วนสีเทาและสีดำได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นวงแหวนของหน้าปัดย่อยทั้งสามหรือขอบตัวเรือนชั้นในก็ดี ทั้งยังช่วยให้สามารถอ่านค่าต่างๆ ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นอีกด้วย ยิ่งเมื่อประกอบกับขอบตัวเรือน ปุ่มกดและเม็ดมะยมที่ผลิตจากเซรามิกสีดำก็ยิ่งทำให้นาฬิการุ่นนี้ดูคมคายและล้ำสมัยเป็นที่สุด ไม่ว่าจะสวมใส่ด้วยสายยางสีน้ำเงิน-ดำ หรือสายยางสีดำ-น้ำเงินที่มาพร้อมกันในชุดและสับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ
Royal Oak Concept Split-Seconds Chronograph GMT Large Date ขนาด 43 มม. เป็นนาฬิกาเรือนแรกที่ใช้คาร์บอน CFT สำหรับตัวเรือนตรงกลาง ซึ่งประดับด้วยเส้นใยสีน้ำเงินที่เรืองแสงในที่มืด การเน้นสีฟ้าของตัวเรือนสะท้อนให้เห็นอย่างมั่นคงด้วยสุนทรียะของหน้าปัดแบบฉลุซึ่งมีวงแหวนเคาน์เตอร์สีฟ้าไฟฟ้าและกรอบด้านในไม่เพียงแต่ให้รูปลักษณ์ที่ทันสมัย แต่ยังตัดกันกับโทนสีเทาและสีดำของกลไก เช่นเดียวกับความชัดเจนที่เพิ่มขึ้น ขอบหน้าปัดเซรามิกสีดำ ตัวกด และเม็ดมะยมช่วยเสริมลุคโฉบเฉี่ยวและล้ำสมัยของนาฬิกาเรือนนี้ ซึ่งติดตั้งอยู่บนสายยางสีน้ำเงินและสีดำที่สามารถเปลี่ยนได้ นาฬิกายังมาพร้อมกับสายยางเส้นที่สองในสีดำและสีน้ำเงิน
“วัสดุซีเอฟทีคาร์บอนใหม่นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเชี่ยวชาญของทีมงานและความมุ่งมั่นของ Audemars Piguet ในการแสวงหานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างไม่รู้จบ อันเป็นแรงผลักดันสำหรับแบรนด์มานับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1875 ไม่เพียงเท่านั้น วัสดุซีเอฟทีคาร์บอนใหม่นี้ยังเปิดโอกาสสำหรับความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ อันจะนำมาซึ่งความประหลาดใจสำหรับผู้ที่หลงใหลในเรือนเวลาชั้นสูงในอนาคตอีกหลายปีข้างหน้านี้”
อิลาเรีย เรสตา
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Audemars Piguet
“คาร์บอน CFT ใหม่นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเชี่ยวชาญของทีมของเรา และการแสวงหานวัตกรรมอย่างไม่สิ้นสุดที่ขับเคลื่อน Audemars Piguet นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1875 นอกจากนี้ยังเปิดโลกทัศน์แห่งการสร้างสรรค์ใหม่ๆ พร้อมมอบความประหลาดใจมากมายให้กับผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาโอต์ Horlogerie ในปีต่อๆ ไป ”
อิลาเรีย เรสต้า
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โอเดอมาร์ส ปิเกต์
ผสมผสาน 4 ฟังก์ชั่นการใช้งานจริงเข้าด้วยกัน
ในเรื่องของฟังก์ชั่นนั้น Royal Oak Concept Split-Seconds Chronograph GMT Large Date มีฟังก์ชั่นที่มีประโยชน์มากถึง 4 ชนิด ได้แก่ หน้าต่างวันที่ขนาดใหญ่ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา การบอกเวลาในประเทศที่สองด้วยระบบจีเอ็มทีจะใช้หน้าปัดย่อยที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกาซึ่งมีเข็มชั่วโมงที่เดินครบหนึ่งรอบในเวลา 12 ชั่วโมงประกอบกับจานแสดงค่ากลางวัน/กลางคืนที่หมุนครบหนึ่งรอบในเวลา 24 ชั่วโมง เมื่อกดปุ่มที่ฝังอยู่ในเม็ดมะยมแล้วเข็มชั่วโมงของระบบจีเอ็มทีจะเคลื่อนไปข้างหน้าเป็นจังหวะครั้งละ 1 ชั่วโมง นาฬิการุ่นนี้มีฟังก์ชั่นโครโนกราฟแบบฟลายแบ็คด้วย โดยผู้ใช้นาฬิกาจะสามารถกดรีเซ็ทและเริ่มจับเวลาครั้งใหม่ได้โดยไม่ต้องกดหยุดจับเวลาครั้งก่อนหน้า สำหรับเข็มสปลิทเซ็กเกินด์ที่เพิ่มเข้ามานั้นก็ทำให้ผู้ใช้สามารถกดหยุดจับเวลาแยกกันได้สองครั้ง กล่าวคือ เมื่อกดปุ่มพิเศษที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกาแล้ว เข็มสปลิทเซ็กเกินด์นี้ก็จะหยุดเดินทันที แล้วเมื่อต้องการให้เข็มสปลิทเซ็กเกินด์นี้ทำงานต่ออีกครั้งก็เพียงกดปุ่มเดิมซ้ำ แล้วเข็มนี้ก็จะตามไปซ้อนอยู่กับเข็มวินาทีปกติของกลไกโครโนกราฟเพื่อเดินไปรอบหน้าปัดพร้อมกันต่อไปจนกว่าจะเลิกจับเวลา
นาฬิกา Royal Oak Concept มีฟังก์ชันการใช้งานจริงสี่ฟังก์ชัน ประการแรก การแสดงวันที่ขนาดใหญ่ที่อ่านง่ายบริเวณตำแหน่ง 12 นาฬิกา ประการที่สอง หน้าปัดย่อย GMT ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิการะบุเวลาในเขตเวลาที่สองด้วยเข็มชั่วโมงที่ครบ 1 รอบใน 12 ชั่วโมง และหน้าปัดแสดงกลางวัน/กลางคืนที่ทำงานเหมือนกันใน 24 ชั่วโมง ชิ้นส่วนกดโคแอกเชียลที่ติดตั้งอยู่บนเม็ดมะยมจะทำให้การบ่งชี้ GMT ก้าวหน้าไปหนึ่งชั่วโมงเมื่อกด นอกจากนี้ นาฬิกายังมาพร้อมกับโครโนกราฟแบบฟลายแบ็ค ซึ่งช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถรีเซ็ตและรีสตาร์ทโครโนกราฟโดยไม่ต้องหยุดก่อน การเพิ่มเข็มแยกวินาทีทำให้สามารถวัดช่วงเวลาระหว่างกลางได้ เข็มแยกวินาทีนี้สามารถหยุดได้โดยอิสระจากเข็มโครโนกราฟ เมื่อปุ่มควบคุมเฉพาะที่ตำแหน่งเก้านาฬิกาทำงาน นาฬิกาจะไล่ตามเข็มที่วิ่งอยู่เพื่อเดินทางต่อไปรอบๆ หน้าปัดเมื่อกดปุ่มกดดังกล่าวเป็นครั้งที่สอง
การเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งพร้อมการสำรองพลังงานได้มาก
หัวใจการทำงานของนาฬิกา Royal Oak Concept Split-Seconds Chronograph GMT Large Date คือเครื่องรุ่นคาลิเบอร์ 4407 ซึ่งประกอบด้วยชิ้นส่วนจำนวนมากถึง 638 ชิ้น พื้นฐานการออกแบบคือคาลิเบอร์ 4401 ซึ่งเป็นเครื่องนาฬิกาแบบอินทีเกรทฟลายแบ็คโครโนกราฟเจเนอเรชั่นล่าสุดที่ AP เปิดตัวเมื่อปี 2019 โดยมีระบบคอลัมน์วีลและเวอร์ติคอลคลัทช์ทำหน้าที่ควบคุมการเริ่มและหยุดของกลไกโครโนกราฟอย่างแม่นยำในลักษณะที่เข็มไม่กระโดดให้เห็น นอกจากนี้ยังมีกลไกรีเซ็ทเข็มที่มีการจดสิทธิบัตรคุ้มครองแล้วเพื่อตีเข็มโครโนกราฟทั้งหมดกลับไปยังตำแหน่งศูนย์ทันที เครื่องนาฬิการุ่นนี้มีโรเตอร์แพลทตินัมเพื่อการขึ้นลานอัตโนมัติอย่างมีประสิทธิภาพจนได้กำลังลานเต็ม 70 ชั่วโมง และโรเตอร์นี้ยังทำหน้าที่แบกรับกลไกสปลิทเซ็กเกินด์เอาไว้ภายในบริเวณบอลแบริ่งด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในเชิงกลไกที่น่าชมและมองเห็นได้ผ่านทางฝาหลังแซฟไฟร์คริสตอลของนาฬิการุ่นนี้
หัวใจสำคัญของนาฬิกา Royal Oak Concept Split-Seconds Chronograph GMT Large Date คือ Caliber 4407 ซึ่งประกอบขึ้นจาก 638 ชิ้นส่วน อิงจากกลไกโครโนกราฟฟลายแบ็คแบบบูรณาการรุ่นล่าสุดของ AP Caliber 4401 ซึ่งเปิดตัวในปี 2019 การเคลื่อนไหวแบบไขลานอัตโนมัตินี้โดดเด่นด้วยวงล้อคอลัมน์พร้อมระบบคลัตช์แนวตั้งที่ช่วยให้มั่นใจในการเริ่มและการหยุดโครโนกราฟที่สมบูรณ์แบบโดยไม่ต้องกระโดดมือ นอกจากนี้ เข็มโครโนกราฟทั้งหมดจะรีเซ็ตเป็นศูนย์ทันทีด้วยการใช้กลไกการรีเซ็ตเป็นศูนย์ที่ได้รับสิทธิบัตร ในขณะเดียวกัน ตุ้มน้ำหนักการสั่นแบบแพลตตินัมช่วยให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพการขึ้นลานที่เหมาะสมที่สุดเพื่อสำรองพลังงานได้เต็มที่ 70 ชั่วโมง โรเตอร์ยังมีกลไกเสี้ยววินาทีอยู่ภายในลูกปืน ซึ่งเป็นความสามารถด้านเทคนิคและความสวยงามที่มองเห็นได้ผ่านฝาหลังแซฟไฟร์
มรดกอันยาวนานของการสำรวจวัสดุ
ซีเอฟทีคาร์บอนถือเป็นนวัตกรรมที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Audemars Piguet ในการเลือกใช้วัสดุชนิดใหม่ๆ มายาวนาน ตั้งแต่การนำสตีลมาใช้ผลิตเรือนเวลาที่มีราคาสูงเมื่อปี 1972 ก่อนที่จะทำให้วงการนาฬิกาได้รู้จักกับแทนทาลัมและอาลาไครท์ในปี 1988 และ 2002 ตามลำดับ และ Audemars Piguet ยังเป็นแบรนด์นาฬิกาแบรนด์แรกที่ริเริ่มการใช้ฟอร์จคาร์บอนในอุตสาหกรรมนี้เมื่อปี 2007 ด้วย
ฟอร์จคาร์บอนแตกต่างจากคาร์บอนปกติตรงที่เส้นคาร์บอนที่ใช้ในการผลิตวัสดุนั้นสั้นกว่า ฟอร์จคาร์บอนจึงมีความต้านทานการบิดดีกว่าในทุกทิศ Audemars Piguet นำฟอร์จคาร์บอนมาใช้เป็นครั้งแรกในนาฬิการุ่น Royal Oak Offshore Alinghi Team Chronograph ซึ่งทำออกมาเพื่อเป็นเกียรติแก่ทีมแข่งเรือสัญชาติสวิส จากนั้นจึงมีนาฬิกาตัวเรือนฟอร์จคาร์บอนรุ่นอื่นๆ ตามออกมาอีกหลายรุ่นจนกระทั่งรุ่นสุดท้ายคือ Royal Oak Offshore Chronograph QE II Cup ในปี 2016
และในวันนี้คัลเลอร์ฟอร์จคาร์บอนก็ได้เปิดหน้าบทใหม่ในเส้นทางเดินสายวัสดุนี้แล้ว ด้วยความทนทานที่เหนือชั้นยิ่งกว่า และรูปลักษณ์ที่จะแปรเปลี่ยนให้ความคิดสร้างสรรค์ทั้งหลายกลายเป็นผลงานที่เป็นรูปธรรมได้ในที่สุด
การเปิดตัวคาร์บอน CFT ใหม่นี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสำรวจวัสดุสร้างสรรค์ที่มีมาอย่างยาวนานของ Audemars Piguet โรงงานผลิตเหล็กกล้า Le Brassus Manufacturing ขึ้นในปี 1972 ก่อนที่จะแนะนำแทนทาลัมและอะลาไครตในปี 1988 และ 2002 ตามลำดับ Audemars Piguet ยังเป็นแบรนด์แรกที่ใช้คาร์บอนปลอมแปลงในอุตสาหกรรมนาฬิกาในปี 2550
คาร์บอนฟอร์จแตกต่างจากคาร์บอนทั่วไปตรงที่เส้นใยคาร์บอนที่สุ่มวางในเรซินนั้นสั้นกว่า ทำให้มีแรงบิดที่เหมาะสมในทุกทิศทาง การใช้งานครั้งแรกคือในนาฬิกา Royal Oak Offshore Alinghi Team Chronograph ที่อุทิศให้กับทีมการเดินเรือชาวสวิสโดยเฉพาะ นาฬิกาหลายรุ่นได้รับการประดิษฐ์ขึ้นจากคาร์บอนฟอร์จที่ Audemars Piguet โดยรุ่นสุดท้ายคือ Royal Oak Offshore Chronograph QE II Cup ในปี 2016
ในปัจจุบัน ฟอร์จคาร์บอนที่มีสีใหม่จะเริ่มต้นบทต่อไปของการเดินทางแห่งวัสดุนี้ ด้วยความต้านทานที่เหนือกว่าและความเป็นไปได้ที่สร้างสรรค์