Khao Yai Art Forest ที่เที่ยวเขาใหญ่พื้นที่แห่งวงการศิลปะไทยในรูปแบบใหม่

ศิลป่า เขาใหญ่ หรือ Khao Yai Art Forest เป็นสถาบันทางศิลปะที่ทลายภาพจำเก่าๆ ของแกลเลอรี่ศิลปะไทยสู่รูปแบบใหม่ ด้วยแนวคิด เชื่อมโยงคุณค่าของ “ศิลปะ” และ “ป่า” เพื่อให้เกิดความหมายใหม่ในการแลกเปลี่ยนความคิด จิตวิญญาณ และการทำงานร่วมกันของสังคม ภายใต้วิสัยทัศน์ของมาริษา เจียรวนนท์ และการคัดสรรศิลปินโดย Artistic Director อย่างสเตฟาโน ราโบลลี แพนเซรา ที่ร่วมกันผลักดันให้สถาบันศิลปะในไทยก้าวทัดเทียมระดับสากล
Cr. พวกเขาไม่เรียก Hereisuwan
นอกจาก Khao Yai Art Forest จะเป็นพื้นที่ที่ส่งเสริมวงการศิลปะในประเทศไทยแล้ว สถาบันยังให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูธรรมชาติ ผ่านการนำเสนอโครงการศิลปะที่หลากหลาย และส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะในแง่ของ ‘สิ่งแวดล้อม’ โดยการพัฒนาและจัดการผลิตกระแสไฟฟ้าและน้ำในการจัดแสดงผลงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ‘ชุมชน’ โดยการจ้างงานคนในพื้นที่และการนำวัตถุดิบธรรมชาติจากการเกษตรกรรมในเขาใหญ่ มาประกอบอาหารในแนวคิด Forest Foods โดยมูลนิธิ Chef Cares ร่วมกับเชฟหนุ่ม วีระวัฒน์ ตริยเสนวรรธน์ และ ‘การศึกษา’ โดยการเปิดพื้นที่ทางการศึกษาให้กับสถาบันทางการศึกษาต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งระหว่างคนรุ่นหลัง ศิลปะ และธรรมชาติ
ภายในสถาบันนำเสนองานศิลปะทั้งประเภทหมุนเวียนและถาวร โดยมีประติมากรรมต่างๆ จากศิลปินไทยมากมายและศิลปินระดับโลก โดยโครงการ Artist in Residence ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองของศิลปินชาวต่างชาติกับประเทศไทยเพื่อสร้างงานศิลปะ โดยผลงานแต่ละชิ้นจะถูกวางกลมกลืนกับธรรมชาติภายในสถาบัน ซึ่งให้สุนทรียะแบบใหม่และเป็นเอกลักษณ์ของศิลป่าแห่งนี้
Maman โดย Louise Bourgeois
ประติมากรรมรูปแมงมุมยักษ์นี้ เป็นสมบัติของมูลนิธิ The Easton Foundation นิวยอร์ก เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์
ของที่นี่ และเป็นศิลปะชิ้นหมุนเวียนที่ตั้งอยู่ที่เขาใหญ่แห่งนี้ เพื่อให้ผู้ที่อยากชมผลงานของศิลปินผู้ล่วงลับได้ดื่มด่ำ ก่อนที่จะเดินทางไปสู่ที่แห่งใหม่ Maman สื่อสารถึงแม่ของศิลปินที่เป็นช่างทอผ้า ดั่งแมงมุมที่คอยถักทอสายใยแห่งชีวิต และด้วยขนาดของประติมากรรมดังกล่าวที่ใหญ่และตั้งสูง เป็นเสมือนเกราะป้องกันไข่ของเธอและผู้เข้าชมงานศิลปะชิ้นนี้
Cr. Andrea Rossetti
Pilgrimage to Eternity โดย Ubatsat
ประติมากรรมชิ้นส่วนของเจดีย์ที่มีพืชธรรมชาติปกคลุมกระจายอยู่ในหลายจุดของสถาบัน มีรากฐานมาจากศิลปะ ‘การสร้างเจดีย์’ ศาสตร์ที่ได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นในประเทศไทย โดยสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์คุณค่าและความเชื่อ พร้อมกับสำรวจขอบเขตใหม่ผ่านงานศิลปะ ด้วยการรื้อสร้างและตีความใหม่ของรูปทรงเจดีย์
ผลงานนี้เป็นดั่งสะพานเชื่อมระหว่างขนบดั้งเดิมและความร่วมสมัย ความศักดิ์สิทธิ์ และธรรมชาติ เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เกิดเป็นบทสนทนาระหว่างพุทธปรัชญา ความไม่เที่ยง และความสมดุลแห่งระบบนิเวศ
Cr. Krittawat Atthsis และ Puttisin Choojesroom
Two Planets Series โดย อารยา ราษฎร์จำเริญสุข
ศิลปินนำเอาจิตรกรรมที่โด่งดังในโลกตะวันตกสมัยก่อน มาเปิดให้ชาวบ้านในชนบทได้เข้าชม เพื่อสร้างพื้นที่แห่งการสนทนาและความคิดเห็นที่แตกต่างต่อภาพวาดในพื้นที่ที่แตกต่างกัน ทั้งซีกโลก ช่วงเวลา และความเชื่อ อันเป็นการนําโลกสองใบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงมาบรรจบกัน ซึ่งมีใจความสำคัญคือ การสร้างบทสนทนาที่เป็นไปไม่ได้
โดยการจัดแสดงในจอกันน้ำกลางแจ้ง และให้ผู้ชมได้ดูและได้ขบคิดถึงบทสนทนาของพวกเขาที่เป็นกัน อันเป็นเหมือนการสร้างงานที่ซ้อนงานอีกหนึ่งขั้น
Cr.Krittawat Atthsis และ Puttisin Choojesroom
K-BAR โดย Elmgreen & Dragset
หากใครที่เคยติดตามข่าวสารในวงการแฟชั่น ศิลปินดูโอ้สองท่านนี้เป็นเจ้าของเดียวกับผลงานศิลปะอย่างบูติกของ Prada อันโดดเดี่ยวในทะเลทรายของรัฐเทกซัสที่ใช้ชื่อว่า Prada Marfa (2005) โดยครั้งนี้ศิลปินเลือกที่จะวางบาร์พาวิลเลียนขนาดย่อมสุดหรูหราไว้ท่ามกลางต้นไม้และป่าใหญ่ เพื่ออุทิศให้เพื่อนศิลปิน Martin Kippenberger ผู้หลงใหลในแอลกอฮอล์ โดยงานศิลปะชิ้นนี้เล่นกับ “ความปรารถนา” ในจิตใจของผู้คนอย่างแยบยล
ผู้ที่อยากลิ้มลองเครื่องดื่มของบาร์แห่งนี้ เมื่อมาถึงจะพบว่าบาร์นั้นไม่เปิดทำการและล็อกประตูจากด้านใน ทำให้ผู้ชมได้แต่เพียงแค่มองดู แต่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตน อย่างไรตาม มีข้อยกเว้นให้กับผู้ชมที่มาในเสาร์ที่ 2 ของแต่ละเดือน หรือตามโอกาสที่กำหนดเท่านั้นที่จะได้ลิ้มลองเครื่องดื่มจากงานศิลปะชิ้นนี้
Cr.Krittawat Atthsis และ Puttisin Choojesroom
GOD โดย Francesco Arena
ประติมากรรม GOD คือก้อนหินขนาดใหญ่สองก้อนจากกาญจนบุรี ใช้ทีมงานท้องถิ่นเป็นผู้ติดตั้งชิ้นงาน โดยวางหินซ้อนกัน ตั้งตระหง่านท่ามกลางป่าต้นสักโดยรอบ สื่อถึงพลวัตของการดำรงอยู่ระหว่างความจีรังและความไม่เที่ยง ก้อนหนึ่งสลักตัวอักษร G และ D และส่วนอีกก้อนสลักตัวอักษร O บริเวณหน้าตัดของหิน เมื่อนำหินทั้งสองก้อนมาประกบกันที่จุดศูนย์กลาง คำว่า God จึงจะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ แต่ในขณะเดียวกันคำว่า God ยังคงไม่ถูกมองเห็นจากภายนอก การไม่ปรากฏดังกล่าว สะท้อนถึงธรรมชาติที่จับต้องไม่ได้ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันดำรงอยู่ในมิติที่เหนือกว่าการรับรู้ทางสายตาของคนเดินดิน นอกจากนี้ยังมีการแสดง Art Performance พิเศษที่ศิลปินจะเคาะที่ตัวประติมากรรมเป็นรหัสมอส เพื่อสื่อสารถึงพระเจ้า
Cr. Krittawat Atthsis และ Puttisin Choojesroom
Khao Yai Fog Forest โดย Fujiko Nakaya
ผลงานชิ้นนี้แตกต่างจากแลนด์อาร์ตแบบดั้งเดิม ที่มักสร้างสรรค์รูปทรงเรขาคณิตเข้าไปครอบงำบริบทของธรรมชาติ ประติมากรรมหมอก ถือเป็นตัวอย่างสำคัญของการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ระหว่างศิลปะกับธรรมชาติ ที่ถูกนำเสนอผ่านรูปแบบศิลปะ “แลนด์อาร์ตในยุค 2.0” ซึ่งเป็นภาพแทนของกระบวนการแวดล้อมที่ไม่อาจมองเห็น และเผยสิ่งที่ไร้รูปลักษณ์ให้ปรากฏแก่สายตาของผู้ชม ทั้งยังเป็นสื่อกลางในการรับรู้ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมรอบตัว
อีกหนึ่งความพิเศษอยู่ตรงที่ละอองหมอกทั้งหมดเกิดจาก “น้ำที่ผลิตจากอากาศ”
โดยใช้เทคโนโลยีจากแบรนด์ Aquaria แบรนด์แรกของโลกที่คิดค้นและพัฒนาเครื่องผลิตน้ำจากอากาศ ด้วยหลักการควบแน่นจนถึงจุด Dew Point ทำให้เกิดเป็นละอองน้ำที่สะอาด
จนดื่มได้ และปลอดภัยสำหรับผู้เข้าชมงานศิลปะชิ้นนี้
Cr. พวกเขาไม่เรียก Hereisuwan
Madrid Circle โดย Richard Long
ผลงานศิลปะแบบมินิมอลชิ้นนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงในพื้นที่ของ Khao Yai Art Forest
มีใจความเกี่ยวกับ “การเดินและการเจริญสติ” โดยผู้ชมสามารถเดินรอบชิ้นงานศิลปะ
รูปวงกลมที่เกิดจากการซ้อนกันของแผ่นหิน เพื่อชมงานท่ามกลางที่โล่งบนเนินเขา สะท้อนความเชื่อมโยงอันลึกซึ้งท่ามกลางศิลป่า เขาใหญ่ ที่ซึ่งศิลปะหลอมรวมเข้ากับธรรมชาติ ทำให้เกิดเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับสถานที่ การดำรงอยู่ และการไหลเวียนของเวลา
Cr. Krittawat Atthsis และ Puttisin Choojesroom
บทความที่เกี่ยวข้อง
ย้อนชมผลงาน 40 ปี Ai Yazawa ผู้สร้างแฟชั่นจากมังงะ
Happy Birthday นิทรรศการเดี่ยวโดย UnderHatDaddy
สำรวจเหล่า Installation Art ใน Coachella 2025