Blog

Lux Pick: ห้องด้านหน้า โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ

ห้องอาหาร Front Room โรงแรม Waldorf Astoria Bangkok กับอาหารไทยแท้ จัดจ้านครบรส สไตล์ “อาหารรสมือแม่”
บทความ: เนตรนภา ปะวะคัง ภาพ: อภิวิชญ์ พรหมพิทักษ์

ห้องอาหาร Front Room ณ โรงแรม Waldorf Astoria Bangkok เปรียบเสมือนโอเอซิสกลางเมืองสำหรับผู้ที่ต้องการดื่มด่ำรสชาติอาหารไทยแท้ๆ ในบรรยากาศหรูหรา ภายในห้องอาหารตกแต่งอย่างสวยงามด้วยโทนสีอบอุ่น แสงไฟนวลๆ ผนังกระจกสูงจากพื้นจรดเพดานเผยให้เห็นวิวตึกสูงย่านราชประสงค์ โต๊ะไม้และเก้าอี้หนังสีน้ำตาลเข้มสร้างความรู้สึกหรูหราแต่ผ่อนคลาย จุดเด่นของที่นี่คือการนำเสนออาหารไทยรสชาติจัดจ้านสไตล์ “อาหารรสมือแม่” ที่ผสมผสานกับเทคนิคการทำอาหารสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว โดยใช้วัตถุดิบสดใหม่จากท้องถิ่น ทำให้ได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากที่อื่น และที่สำคัญคือ ครบทั้ง 8 รสชาติอันโดดเด่นของอาหารไทย ไม่ว่าจะเป็นเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด ขม ฝาด และกลมกล่อม

ล่าสุด Front Room ได้เปิดตัว Tasting Set Menu ใหม่นำเสนออาหารใต้ในรูปแบบที่ใหม่เหมือนใคร ภายใต้การนำเชฟอ้น อธิติ ม่วงทอง ที่ได้นำประสบการณ์และแรงบันดาลใจรอบตัว โดยเฉพาะจากคนในทีมที่เป็นชาวใต้มาร้อยเรียงจนเกิดเป็น Tasting Set Menu ที่ประกอบด้วยอาหารทั้งคาวและหวานทั้งสิ้น 4 คอร์ส

แขกทุกโต๊ะจะได้รับอาหารเรียกน้ำย่อยอย่าง “ข้าวเกรียบกุ่ยช่าย” ที่เมื่อคุณได้ลิ้มรสแล้วรับรองเลยว่าจะต้องอยากขอเบิ้ลอีกจาน จากจานเรียกน้ำย่อย มาที่คอร์สแรกของเซ็ต “ขนมจีบกุ้ง ข้าวยำ ขนมจีนแกงปู หมูสะเต๊ะ” ที่สื่อถึงความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมของภาคใต้ อาหารถูกเสิร์ฟมาในขนาดพอดีคำ แม้จะเป็นคำเล็กๆ แต่รสชาติดีถึงเครื่อง โดยเฉพาะขนมจีนกุ้งที่ได้รับประทานต้องเซอร์ไพรส์เพราะไส้เป็นห่อหมกเนื้อเนียนนุ่ม ต่างจากที่เคยลิ้มลอง

คอร์สถัดมาเป็น “บักกุ๊ดเต๋เนื้อวากิว ชอร์ตริบ พร้อมเห็ดหอม” ที่ใช้เทคนิคในการตุ๋นและซูวีจนได้เนื้อที่นุ่ม เคี้ยวง่าย ตัวน้ำซุปหอมเครื่องเทศและเข้มข้นจนซดได้หมดถ้วย หากใครชอบรสจัด ก็สามารถบีบมะนาวและเติมพริกป่นที่เสิร์ฟมาด้วยได้ อีกจานในคอร์สนี้คือ “ปีกไก่ยัดไส้” ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากไก่ทอดหาดใหญ่ ใช้เนื้อสะโพกหมักเครื่องเทศ โรยด้วยหอมเจียว รับประทานคู่กับอาหารรสเปรี้ยวหวาน

มาถึงเมนคอร์สอย่าง “กุ้งฆอและ” กุ้งแม่น้ำเผาตัวโต มันเยิ้มๆ ราดด้วยซอสกอและรสชาติหวานมัน ซึ่งเซฟอ้นได้แรงบันดาลใจมาจากไก่กอและที่เป็นไก่หมักกับเครื่องแกงแบบมุสลิมแล้วนำไปย่าง รับประทานกับ “ข้าวสังข์หยด” ของดีเมืองพัทลุงที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ พร้อมน้ำพริกกะลา ปลาอินทรีย่าง ไข่เค็ม และผักสด ตัวข้าวเสิร์ฟในกะลา ส่วนน้ำพริกเสิร์ฟในฝากะลา ภายใต้แนวคิด “Zero Waste” เพื่อลดขยะ จานสุดท้ายในคอร์สนี้ก็คือ “วายคั่ว” หรือปลาหมึกสายต้มกะทิและเครื่องเทศ อาหารพื้นเพของคนสมุย อีกหนึ่งจานเด็ดที่หารับประทานทั่วไปได้ยาก ซึ่งเชฟอ้นและทีมก็ได้รังสรรค์ให้เราได้ลิ้มลองในเซ็ตเมนูนี้ด้วย

มาที่คอร์สสุดท้ายของ Tasting Set Menu ครั้งนี้ ซึ่งก็คือของหวาน ที่เสิร์ฟมาด้วยกัน 2 จาน ได้แก่ “ส้มจี๊ด” ที่มีทั้งซอร์เบต์ส้มจี๊ด สัปปะรด และเจลลีน้ำผึ้ง ตกแต่งด้วยดาร์กชอคโกแลตรูปผึ้ง ตัวส้มจี๊ดมาจากอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ส่วนน้ำผึ้งเป็นน้ำผึ้งป่าเบญพรรณที่ให้ผึ้งทิ้งรังก่อนจึงค่อยเก็บน้ำผึ้งมาบริโภค ซึ่งถือว่าใส่ใจสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศอย่างมาก อีกจานคือ “ชาชักโรตีกรอบ” ที่นำชาใต้รสเข้มมาทำเป็นเปียกปูน รับประทานกับแผ่นโรตีทอดกรอบๆ และโฟมนมผสมนมข้นหวาน ของหวานทั้งสองจานนี้ จานหนึ่งให้ความสดชื่น อีกจานให้รสชาติมัน นัว ซึ่งก็น่าจะโดนใจสายรักของหวานทั้งคู่

Tasting Set Menu เซ็ตนี้ให้บริการในมื้อเย็น ในราคา 2,900++ ต่อคน โดยราคานี้รวมเครื่องดื่ม 1 แก้ว ซึ่งเลือกได้ทั้งไวน์ขาว ไวน์แดง ม็อกเทล ค็อกเทล หรือหากคุณอยากรับประทานอาหารไทยแท้แบบอะลาคาร์ท ที่ห้องอาหาร Front Room ก็มีบริการเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเมนูซิกเนเจอร์อย่าง “เนื้อเค็มต้มกะทิ” “หมูสามชั้นผัดกระเทียมดอง” “ปลาเก๋านึ่งพริกลาบคั่ว” และอื่นๆ อีกมากมาย รับรองว่า หากได้ลองลิ้มรสสักครั้ง Front Room น่าจะครองตำแหน่งอีกหนึ่งห้องอาหารไทยในใจคุณได้แบบไม่ยาก

บทความที่เกี่ยวข้อง: Shelly House นำอาหารมื้อสายตลอดทั้งวันที่ได้รับแรงบันดาลใจจากซิดนีย์มาสู่สาทร

Related Articles

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Back to top button