Blog

ทำความรู้จักกับสองนักแสดง ‘จอส-กวิน’ ให้มากยิ่งขึ้น พร้อมกับบทบาทใหม่ที่ท้าทายในซีรีส์ ‘My Golden Blood เลือดนายลมหายใจฉัน’

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าซีรีส์วายนั้นกลายมาเป็นสื่อกระแสหลักที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายเป็นอย่างมาก ซึ่งเราก็ได้เห็นเรื่องราวในซีรีส์ที่บอกเล่าออกมาหลายรูปแบบโดยเฉพาะกับเรื่องราวในวัยเรียนหรือรั้วมหาวิทยาลัย แต่แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไป ความต้องการเส้นเรื่องใหม่ๆ ก็ตามมาเช่นกัน เราจึงได้เห็นซีรีส์วายแนวใหม่ออกมาให้เราได้ตื่นเต้นกันในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และหนึ่งในแนวเส้นเรื่องที่เราได้เห็นนั้นคือหมวดหมู่เรื่องราวที่โยงไปกับความแฟนตาซีเหนือจริง ในฉบับเรามีโอกาสมาพูดคุยกับสองนักแสดงที่หลายๆ คนอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่แล้ว อย่าง ‘จอส-เวอาห์ แสงเงิน’ และ ‘ฟลุ๊ค-กวิน แคสกี้’ ที่โคจรมาเจอกันเป็นครั้งแรกในซีรีส์วายแฟนตาซี ‘My Golden Blood เลือดนายลมหายใจฉัน’ ที่จะมาแชร์มุมมองของทั้งคู่เกี่ยวกับการแสดง ความท้าทายของบทบาทใหม่ ความฝัน และตัวตนของแต่ละคนให้เราได้รู้จักกันมายิ่งขึ้น

ความรู้สึกแรกหลังจากได้รับบทบาทในซีรีส์ ‘My Golden Blood เลือดนายลมหายใจฉัน’

กวิน: “รู้สึกตื่นเต้นครับ เพราะเรื่องราวของซีรีส์เรื่องนี้มันไม่ใช่แนวที่เราเคยเล่นมาก่อน ที่จะเป็นความรักมหาลัยฯ ใสๆ มันมีองค์ประกอบของแวมไพร์เข้ามาด้วย ก็รู้สึกว่าชอบในตรงนี้นะครับ เพราะส่วนตัวก็ชอบดูหนังแวมไพร์อยู่แล้ว ก็เลยคิดว่ามันน่าสนใจดี และอยากลองเล่นดูครับ”

จอส: “เหมือนกันครับ ใช้คำว่าตื่นเต้นได้เลย เพราะก่อนที่เราเข้าไปแคสต์ เรารู้ว่าเส้นเรื่องมันเกี่ยวกับแวมไพร์ ก็ยังสงสัยอยู่ว่าเราจะเป็นแวมไพร์ได้หรือเปล่า แต่พอได้คุยกับทีมงานแล้ว เข้าก็เหมือนช่วยสร้างความมั่นใจให้ผม หลายๆ คนก็บอกว่าผมเหมาะกับบทบาทนี้ เลยตัดสินใจลองไปแคสต์ดู พอได้รับบทบาท ก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจ เพราะว่าองค์ประกอบของแวมไพร์มันจะมีความดุร้าย มีความเป็นสัตว์ป่า แล้วก็เราเหมือนมีพลังวิเศษ รวมถึงยังต้องเป็นแวมไพร์ที่มีชีวิตอยู่มายาวนานกว่าคนทั่วไปปกติ มันไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป เลยยิ่งรู้สึกว่าสนุกในการศึกษาคาแรกเตอร์ ก็เลยอยากเล่นครับ อยากเล่น

“ถ้าถามถึงเรฟเฟอร์เรนซ์ของความเป็นแวมไพร์ ผมก็ศึกษาจากหนังแวมไพร์ที่ผมคุ้นเคยและชอบเป็นการส่วนตัวอย่าง Twilight แล้วก็เรื่อง Dracula Untold ก็เลยได้เค้าโครงในหัวว่าแวมไพร์ในแบบของเราจะเป็นแบบไหน ดูซ้ำไปซ้ำมาเลยครับ เพราะอยากเก็บรายละเอียด โดยเฉพาะเรื่องของอาการกระหายเลือด ที่ผมค่อนข้างสงสัยว่าเราต้องรู้สึกอย่างไร จะเหมือนตอนที่เราหิวข้าวมากๆ ไหม หรือจะเหมือนตอนที่เรามีความอยากลองอะไรถึงขีดสุดหรือเปล่า รวมไปถึงเรื่องความดุร้ายที่แวมไพร์มี มันมีหลายรายละเอียดที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะนอกจากสิ่งที่ต้องเพิ่มเติมเข้ามาแล้ว ก็มีสิ่งที่ต้องตัดออกจากความเป็นมนุษย์ของเราเช่นกัน อย่างเรื่องการที่ต้องไร้อารมณ์ความรู้สึกแบบสิ้นเชิง ผมก็ศึกษามาและก็ได้พูดคุยกับทีมงานและผู้กำกับจนได้แนวทางความเป็นแวมไพร์ที่เราเห็นตรงกัน” 

ช่วยอธิบายคาแรกเตอร์ของ ‘มาร์ค’ และ ‘ตอง’ ให้เราฟังหน่อย และคาแรกเตอร์ของแต่ละคน เหมือนหรือต่างกับตัวเองอย่างไรบ้าง

กวิน: “ตองเป็นตรงข้ามกับมาร์คเลยครับ เป็นเด็กที่สดใส ร่าเริง แต่ว่าเขาเป็นเด็กกำพร้าที่เสียคุณพ่อคุณแม่ไปตั้งแต่เด็ก และโตมากับแค่เพื่อนไม่กี่คน ถึงอย่างนั้น เขาก็ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัวเยอะพอสมควร นอกจากนี้ตองจะเป็นคนที่อยู่ในกรอบมาโดยตลอดตั้งแต่เด็ก อยู่ที่บ้านต่างจังหวัดไม่ค่อยได้เจออะไรเยอะ พอได้ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ก็รู้สึกว่าชีวิตดูมีอะไรขึ้น มีสีสันขึ้น ก็อยากจะลองทำอะไรใหม่ๆ อะไรที่เขาไม่เคยทำ ซึ่งต่างกันกับผมพอสมควร เพราะผมก็โตมาในครอบครัวที่สมบูรณ์ เราอยากทำอะไร อยากได้อะไร ส่วนใหญ่ถ้ามันอยู่ในขอบเขตมันก็ได้ทำ ไม่ได้มีความแบบไม่เคยทำอันนี้ อยากไปทำอันนู้น ไม่ได้มีความอยากเยอะเท่าตอง แล้วก็อาจจะต่างกันตรงความสดใสร่าเริงที่ผมมีน้อยกว่า ก็ต้องมาทำการบ้านกันว่ากว่าจะไปถึงตรงนั้นได้ก็ต้องเป็นยังไงบ้าง ผมว่าก็ยากพอสมควร แต่ว่าพอผมไปถึงกองก็จะเอาคาแรกเตอร์นั้นมาสวม ก็จะเพิ่มความร่าเริงไปตั้งแต่ตอนถึงกอง มันก็จะได้แบบบูสต์ ไปหน่อย พอไปแสดงมันก็เราไม่ต้องเปลี่ยนโหมดเยอะมาก”

จอส: “มาร์คเคยเป็นมนุษย์มาก่อน ก่อนที่จะกลายมาเป็นแวมไพร์ เขาป่วยติดเตียงตั้งแต่ยังเด็กทำให้เขาไม่ได้มีโอกาสออกไปใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป เพราะฉะนั้นก็จะอยากใช้ชีวิตจริงๆ แต่ในวันนึงเขาก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นแวมไพร์เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อ เพราะป่วยหนักจนคุณพ่อของเขาไปทำสัญญาบางอย่างซึ่งลึกๆ แล้วเขาก็ไม่ต้องการ การเป็นแวมไพร์ทำให้เขาขาดความรู้สีกไปโดยสิ้นเชิง มีแค่ความหิวกระหายเลือด มันก็เป็นความว่างเปล่าบางอย่าง และมาร์คมีความซื่อสัตย์มากๆ เป็นคนที่มีความกตัญญู ซื่อสัตย์ ต้องการปกป้องคนที่เขารัก แล้วก็เป็นคนที่ให้เกียรติกับเรื่องคำสัญญามาก แต่ลักษณะนิสัยจะมีความเป็นคนแก่ เหมือนคุณลุง คุณปู่ เหมือนถ้าเรารู้จักผู้ใหญ่ เขาจะมีความแข็งๆ ทื่อๆ ทำทุกอย่างให้เป็นแบบแผนที่สุด เพราะตัวมาร์คผ่านโลกมาเยอะ คงเป็นจุดหนึ่งที่ต่างจากตัวผมที่พึ่งรู็สึกว่าได้ผ่านการเป็นผู้ใหญ่มา”

กวิน: “ซึ่งผมว่าทั้งคู่ก็มีความคล้ายกันนิดนึงตรงที่ทั้งคู่ตอนเด็กๆ อยู่ในกรอบ พอมันเจอกันเลยกลายเป็นว่าทั้งคู่ฟรีขึ้นจากความรู้สึกตอนเด็ก”

ซีรีส์เรื่องนี้มีความเป็นแฟนตาซีอยู่ค่อนข้างมาก องค์ประกอบนี้ท้าทายทั้งคู่ในด้านการแสดงอย่างไรบ้าง 

กวิน: “สำหรับผมท้าทายตรงที่เรื่องนี้พอเป็นความแฟนตาซีก็ต้องมีเรื่องของเทคนิค CG เข้ามา ผมว่ามันก็ยากกับการต้องเล่นอะไรที่เรามองไม่เห็น ต้องใช้จินตนาการเยอะๆ ในบางอย่างมันก็ยากนิดนึง เพราะเราต้องมองในระยะที่พอดี หรือจุดที่ตรงที่สุด ทั้งๆ ที่ตรงนั้นไม่ได้มีอะไรอยู่ แต่ผมว่ามันก็เป็นความสนุกอีกอย่าง พอมันมีความแฟนตาซีเยอะๆ มันก็เหมือนได้มาใช้จินตนาการ เหมือนที่เคยเล่นตอนเด็กๆ มันก็มีความสนุกตรงนั้นอ่ะครับ”

จอส: “พอเรารู้ว่าจะได้เล่นเป็นแวมไพร์หรือมีพลังเหนือธรรมชาติอะไรแบบนี้ ด้วยเราเป็นเด็กเล่นเกมด้วย เราก็จะมีความละเอียดมากกว่าเดิมในส่วนของคาแรกเตอร์ความเป็นแวมไพร์ ผมจะสงสัยว่าพลังของแวมไพร์ในเรื่องนี้เป็นยังไง คาแรกเตอร์แวมไพร์ของผม กับแวมไพร์อื่นๆ ในเรื่องต่างกันมากไหม รวมไปถึงผลกระทบที่เลือดของตองมีต่อแวมไพร์นั้นเป็นอย่างไร ตอนเวิร์คช็อปก็จะมีคำถามพอสมควร ทั้งเรื่องระดับพลัง บุคลิก และอีกมากมาย ก็ได้ข้อมูลที่ทั้งทางทีมกำหนดไว้ และเราก็สร้างรายละเอียดนั้นๆ ขึ้นมาเองบ้าง นี่ก็เป็นความท้าทายหนึ่งเหมือนกัน แต่พอได้มาเปิดกล้องและผ่านไปหลายๆ คิว ทุกๆ อย่างก็เหมือนลงตัวมากขึ้น เราเข้าใจในตัวมาร์คมากขึ้น ทำให้การแสดงของเราลื่นไหลมากขึ้นเช่นกัน” 

อีกหนึ่งประเด็นหลักของซีรีส์เรื่องนี้ก็คือ ‘เลือดสีทอง’ ที่ตองมี เลือดของตองมันมีความพิเศษอย่างไรบ้าง

กวิน: “ถ้าทางการแพทย์มันเป็นเลือดที่หาได้ยาก แบบหนึ่งในล้าน เป็นกรุ๊ปเลือดพิเศษ ซึ่งกรุ๊ปเลือดนี้มันก็จะทำให้แวมไพร์มีพลังมากขึ้น มีความสามารถมากขึ้น จากบางอย่างที่ทำไม่ได้ ก็ทำได้ เหมือนไอเท็มในเกมที่ช่วยทำให้ตัวละครเราแกร่งขึ้นครับ” 

จอส: “เป็นเลือดที่สำคัญมากๆ สำหรับแวมไพร์ ในเรื่องนี้แวมไพร์ไม่มีวันตาย เป็นอมตะ โดนแดดได้ด้วย (หัวเราะ) แล้วก็สิ่งเดียวที่จะสามารถฆ่าแวมไพร์ได้คือแวมไพร์ที่มีเลือดสีทอง มันมีความพิเศษก็คือถ้าได้ชิมนิดหน่อยจะมีความเป็นมนุษย์ จะได้ประสาทสัมผัสความเป็นมนุษย์กลับมา แต่ถ้าดื่มหมดเลยจะมีความสามารถที่มากขึ้น จนฆ่าแวมไพร์อื่นๆ ได้ มาร์คเลยต้องมาปกป้องตองที่มีเลือดสีทอง ที่เป็นสิ่งสำคัญมากๆ” 

มาถึงในพาร์ทของการแสดง บทบาทที่อยากเล่นในอนาคตของทั้งคู่คือบทบาทแบบไหน

กวิน: “อยากเล่นแนวสืบสวนสอบสวน ผมชอบแนวนี้จากซีรีส์ที่ชอบดูครับ อย่างช่วงนี้ก็จะเป็น Dexter อยากเล่นเป็นบทฆาตกร เป็นคนร้าย อยากเล่นเป็นคนร้ายบ้างเพราะไม่เคยเล่นเลยบทนี้ครับ ผมว่าน่าสนใจดี น่าจะมีอะไรให้เล่นเยอะครับ”

จอส: “ที่อยากเล่นแน่ๆ เลย คือแนวพีเรียดย้อนยุค เพราะเรารู้สึกว่าเราก็ไทยเนอะ เป็นคนใต้ คาแรกเตอร์เราน่าจะเข้ากับแนวนี้ดี อีกแนวคือ Romantic Comedy หรือ Comedy ไปเลย ถึงจะเคยผ่านการแสดงแนวนี้มาบ้าง ก็รู้สึกอยากเล่นอีกครับ อยากเล่นคาแรกเตอร์เบียวๆ ถ้าให้ยกตัวอย่าง คงจะเป็นหนึ่งเรื่องที่ได้เห็นในงานประกาศซีรีส์ของค่ายเราเมื่อปีที่แล้ว ก็คงจะเป็นเรื่อง ‘มีสติหน่อยนะคุณธีร์’ ของน้องปอนด์กับภูวิน ผมว่ามันก็ดูฮาดี แล้วอีกแนวก็อยากอยู่ในเครื่องแบบ เป็นตำรวจทหาร หรืออาจจะเป็นหน่วยรบพิเศษอะไรแบบนี้ ได้มีฉากออกรบอะไรแบบนี้ครับ”

คำจำกัดความของตัว ‘จอส’ และ ‘กวิน’ 

จอส: “ตอนแรกที่เห็นคำถามนี้ เราก็นั่งคิดนะว่าคำจำกัดความของตัวเราคืออะไร แล้วเราก็ลองคุยกับคุณพ่อ คุณพ่อก็เห็นด้วยว่านิยามของผมคือเป็นคนจริงจัง จริงจังและซีเรียส เราก็คิด… โห… มันดูไม่ดีเลยอ่ะ แต่พ่อก็อธิบายให้ฟังว่ามันก็มีข้อดีแล้วก็ข้อเสีย เราก็ยอมรับว่ามันก็ตรงกับเราที่สุด บางทีเขาให้เป็นเล่นเกมขำๆ ในเกมโชว์ เราก็จริงจังเกินไป เวลาไปแข่งกีฬาก็ตั้งใจซ้อมมากๆ เพราะเราเป็นนักกีฬาตั้งแต่เด็ก แต่ราเป็นคนไม่เก่ง เราไม่ได้มีพรสวรรค์ครับ ตั้งแต่เด็กเราก็อยากให้โค้ชเห็นเรา รวมถึงตอนเด็กๆ ผมเป็นคนติดเกมมาก ก็เลยรู้สึกว่าการเล่นเกมแล้วเราชนะเนี่ย ด้วยเราเป็นคนชอบแข่งขัน เราชอบชนะ เรายังมีความสุขกับการแข่งแล้วชนะ แล้วเราเก่งอะไรแบบนี้ มีความมั่นใจว่าเราเป็นโปรได้ ถ้ามีให้เราทำอะไรจริงๆ จังๆ ซักอย่างหนึ่ง” 

กวิน: “สำหรับผม ผมว่า ผมเป็นคนที่อยู่กับปัจจุบันครับ อาจจะมีคิดถึงอนาคตบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะอยู่กับปัจจุบัน เราจะให้ความสำคัญกับเป้าหมายในระยะสั้นๆ มากกว่า แล้วค่อยๆ ต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วก็คิดว่าตัวเองก็มีความเป็นศิลปินพอสมควร สิ่งไหนที่เราชอบหรือรู้สึกสนุกไปกับมัน อย่างเรื่องดนตรี เราก็จะมีความตั้งใจกับมัน ถ้าสมมติให้นั่งเล่นกีตาร์เราก็นั่งเล่นได้ทั้งวัน แต่พอเป็นอะไรที่ไม่ได้สนใจขนาดนั้น ก็อาจจะเข้าไปให้ความสำคัญกับมันน้อยกว่าหน่อย” 

ตอนนี้เราก็มีแฟนคลับเข้ามาเยอะขึ้น คิดว่ามีมุมไหนที่เค้ายังไม่รู้เกี่ยวกับเราบ้างไหม แล้วสามารถแชร์ได้

จอส: “หลายๆ คนจะชอบคิดว่าผมจริงจังหรือเป็นคนดุ แต่จริงๆ ผมว่าผมเป็นคนตลกนะ ยิ่งถ้าอยู่กับกลุ่มเพื่อน ด้านนี้ของผมจะเห็นชัดมาก บน Netflix สิ่งที่ผมชอบดูคือ Standup Comedy หรือเดี่ยวไมโครโฟนของต่างประเทศ เราชอบมากๆ เรารู้สึกว่าถ้าเป็นมุกตลกที่หลายๆ มุกก็สร้างสรรค์ เป็นความตลกที่มีชั้นเชิง มีการเล่นกับภาษา เล่นกับคำ เป็นสิ่งที่เราชอบมากๆ”

กวิน: “จริงๆ แล้วผมเป็นคนพูดเก่งนะครับ เราก็พัฒนาตรงนี้อยู่ด้วย ยิ่งถ้ามันอยู่ในหัวข้อที่ผมชอบจริงๆ ผมจะพูดได้ทั้งวัน เหมือนกีตาร์ที่ผมนั่งเล่นได้ทั้งวัน ผมก็คิดว่าตัวเองเนิร์ดอยู่พอสมควรนะ อย่างเรื่องบาสเก็ตบอล หนัง หรือดนตรี ผมจะพูดได้เยอะมากๆ ถ้าไปเจอวงวงนึงที่ผมชอบ ผมจะไล่ฟังตั้งแต่อัลบั้มแรกจนอัลบั้มสุดท้าย”

ความชอบในเรื่องดนตรีของกวินเริ่มขึ้นเมื่อไหร่

กวิน: “คิดว่าตั้งแต่เด็กๆ เลยครับ ถ้าตอนเด็กๆ ดนตรีที่มีอิทธิพลกับผมเยอะๆ น่าจะเป็นดนตรีที่พ่อแม่ฟัง แล้วก็จะมีกีตาร์ที่บ้านตัวนึงเป็นตัวเก่าที่ไปนั่งเล่นตอนเด็กๆ ก็รู้สึกว่าชอบแต่ยังไม่ได้สนใจมากนาดนั้น พอมาช่วงประถม น่าจะประมาณ ป.4 จะมีคลาสพิเศษให้เราเข้าไปเรียนพวกเครื่องเป่า พวกไวโอลิน เครื่องดนตรีอะไรทุกอย่าง ผมเลือกทรัมเป็ตไป แล้วก็เข้าไปเป็นสมาชิวงดุริยางค์ มีไปเรียนพิเศษตอนเย็นที่โรงเรียนยาวประมาณ 4-5 ปี น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ชอบจริงๆ ที่ศึกษาเยอะๆ แล้วก็ได้เล่นกีตาร์ เล่นเบส พอย้ายไปอเมริกา ตอนแรกกะจะเล่นบาส แต่สุดท้ายกลายมาเป็นเล่นกีตาร์แทน จริงๆ ผมฟังได้หลายแนว ทุกแนวเลย แต่ถ้าชอบเป็นพิเศษน่าจะเป็นร็อก Alternative อะไรแบบนี้ครับ ผสมหลายๆ แนว แต่หลักๆ น่าจะเป็นร็อก”

หนึ่งสิ่งที่ทั้งคู่มีคล้ายกันคือความชอบในกีฬาบาสเก็ตบอล ช่วยเล่าจุดเริ่มต้นของความชอบในกีฬานี้ของแต่ละคนให้ฟังหน่อย และกีฬานี้ช่วยให้ทั้งคู่จูนเข้าหากันง่ายขึ้นบ้างไหม

จอส: “ถือเป็นกีฬาแรกที่ผมได้เล่นเลย ตั้งแต่ตอนอายุ 12 จุดเริ่มต้นคือไปเล่นกับเพื่อนแล้วมีคนที่แอบชอบไปเล่นด้วยกัน แล้วเค้าชวนไปเล่นบาส แต่เราเล่นไม่เก่งแล้วเรากลัวอาย เราก็เลยแบบกีฬานี้แหละเราจะเล่นให้เก่งให้ได้ แค่นั้นเลยครับ แล้วก็พอเล่นไปเรื่อยๆ บาสกลายเป็นใบเบิกทางให้เราทุกอย่างที่ผ่านมา พอเราย้ายมาเรียนกรุงเทพฯ ได้เล่น ทำให้เรามีโอกาสได้เข้าเรียนทุนนักกีฬาของโรงเรียนอินเตอร์ฯ เป็นใบเบิกทางให้เราได้เรียนภาษาอังกฤษ ทำให้เราเก่งภาษาอังกฤษขึ้นมาเรื่อยๆ จนเรารู้สึกว่าภาษาอังกฤษก็เป็นใบเบิกทางอีก ทำให้เราได้เรียนรู้ ได้อะไรหลายๆ อย่าง ตอนแรกมีความคิดว่าจะเทิร์นโปรฯ ด้วย แต่ด้วยเจอการบาดเจ็บและองค์ประกอบอีกหลายๆ อย่าง ทั้งงานของเราเองด้วย ตอนนี้เราเลยเล่นกีฬานี้เพื่อความสนุก และได้เจอเพื่อนๆ แทนครับ เพราะผมเล่นบาสอาทิตย์ละครั้ง มันไม่ใช่การเล่นกีฬาอย่างเดียว มันเป็น community สำหรับคนใส่ใจสุขภาพ อย่างน้อยก็ได้มาเหงื่อออก มาคุยกัน อัพเดต คุยกันเรื่อง NBA อะไรแบบนี้ครับ”

กวิน: “ผมคิดว่ารู้สึกโชคดีที่พ่อผมเป็นนักกีฬามาก่อน ที่อเมริกา เค้าเป็นนักอเมริกันฟุตบอล ก็เหมือนได้ทุนเข้ามหาวิทยาลัย เค้าก็จะพาผมไปเล่นทุกอย่าง ตีกอล์ฟ เตะบอล บาส ปิงปอง ทุกอย่างเลยครับ สุดท้ายก็มาจบที่บาสนี่แหละ ตอนแรกเล่นบอลก่อนครับ ประมาณ 2-3 ปี แล้วก็มีวันนึงอยากลองเล่นบาส พอจับลูกบาสลองมาชู้ตดูก็เลิกเล่นบอลเลยครับ เล่นบาสยาวๆ ตั้งแต่ช่วงประถมครับ”

นอกจากเรื่องบาสเก็ตบอลแล้ว มีเรื่องอื่นๆ ที่ทั้งคู่สนใจคล้ายกัน ที่ช่วยทำให้การร่วมงานกันครั้งแรกนี้ เราจูนเข้าหากันมากขึ้นบ้างไหม

จอส: “ต้องให้เครดิตบาสนี่แหละครับ เพราะว่าเราได้ไปซ้อมไปเล่นด้วยกัน ทำให้ผมสามารถทำให้กวินออกมาจากบ้านได้ (หัวเราะ) ทำให้เราได้มีโอกาสใช้เวลาร่วมกันเยอะมากๆ พอเล่นบาสด้วยกันเสร็จก็มีกินข้าวกันต่อ เพราะว่าเขาไม่ได้เป็นคนชอบเที่ยวและเป็นคนติดบ้าน ต้องทำงานหรือไปเล่นบาสเค้าถึงจะยอมออกมา คือถ้าชวนออกมาแบบไปเดินเล่น ถ่ายคอนเทนต์ มันไม่ใช่สไตล์เรา 2 คนเลย เพราะแบบนั้นบาสเลยเป็นตัวกลางสำคัญเลยที่ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น 

กวิน: “ผมคิดว่าเรื่องบาสก็เรื่องสำคัญ แล้วก็มีไปฟิตเนสด้วยกันเราก็คุยกันเรื่องออกกำลังกายพอสมควรมีอะไรถามกันเยอะพอสมควร” 

จอส: “รวมถึงภาษาอังกฤษครับที่มันทำให้เราเข้ากันได้มากขึ้น ด้วยว่าเราถนัดใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า เค้าก็เป็นลูกครึ่ง คุยภาษาอังกฤษ ผมว่ามันทำให้เจอจังหวะของอารมณ์ขัน การเล่าเรื่อง และอะไรต่างๆ ที่คล้ายกัน มันคลิกกันง่ายมากขึ้นมากๆ” 

กวิน: “ เราเข้าใจอะไรมากกว่าเวลาดูรายการฝั่งอเมริกาที่ภาษาอังกฤษครับ เราเลยยิ่งเจออะไรที่ดูคล้ายกันมาขึ้น ทั้งรายการบันเทิงหรือกีฬา ก็มีเรื่องให้คุยกันและจูนเข้าหากันมากขึ้น”

ความท้าทายในชีวิตช่วงนี้ของทั้งคู่คืออะไร

จอส: “ของผมเป็นเรื่องการโตขึ้นและจัดการอารมณ์ครับ ทั้งเรื่องของหน้าที่การงานหรือเรื่องส่วนตัว การที่จะทำซีรีส์เรื่องหนึ่งมันมีองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ทีมงานหลายๆ ทีม ก่อนที่มันจะประกอบร่างกันเข้าสู่ช่วงถ่ายทำ ผมดีใจมากนะครับ ที่ทุกคนได้ดูซีรีส์เรื่องนี้กันแล้วในปีนี้ ในระหว่างที่อยู่ในกระบวนการต่างๆ ผมก็ได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมมีเวิร์คช็อปบ้าง ทำงานบ้างเล็กๆ น้อยๆ พออยู่กับตัวเองนานๆ เราเลยมารู้ว่า ตัวเราเป็นคนคิดเยอะ กลายเป็นว่าคิดหลายๆ เรื่องอยู่ตลอดเวลาจนเริ่มฟุ้งซ่าน จนถึงขั้นกดดันตัวเอง แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นเยอะมากแล้วครับ เพราะหาวิธีจัดการอารมณ์ส่วนนี้ของตัวเองได้พอสมควรแล้ว ผมโชคดีที่ผมมีโอกาสได้เจอเพื่อน พูดตรงๆ ว่าการได้กลับมาเล่นบาส ทำให้ผมมีความสุขขึ้นเยอะเลย เพราะมีช่วงนึงที่ได้ไปแข่งขันจริงจัง ผมเหมือนนักกีฬาอาชีพเลยครับ เราเริ่มมีจุดโฟกัสมากยิ่งขึ้นวันนี้กินอะไร เราต้องไปซ้อมชูสนะ น้่งดูเทปว่าอาทิตย์หน้าเราเจอทีมนี้เรามีต้องปรับตรงไหนบ้าง เหมือนได้หาบาลานซ์ให้กับชีวิตตัวเอง ตอนนี้ก็มาโฟกัสกับการเป็นนักแสดง ได้ทั้งอยู่กับตัวเองและอยู่กับคนรอบข้างครับ”

กวิน: “ผมว่าความท้าทายของผมตอนนี้ คือการเปิดให้คนเข้ามารู้จักตัวผมมากขึ้น ด้วยปกติผมเป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ ไม่ค่อยเล่นโซเชียลมีเดีย ผมเลยรู้สึกว่าเรื่องนี้ท้าทายสำหรับผมพอสมควร ทั้งการเล่นโซเชียลมีเดียที่มากขึ้น มีปฏิสัมพันธ์กับคนมากขึ้น ก็รู้สึกว่าเก่งขึ้นนะครับ (หัวเราะ) แต่ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาผมมีช่วงว่าง ก็มีหายไปจากโลกโซเชียลบ้างครับ ผมก็ไปทำอะไรส่วนตัว เล่นกีตาร์ หรือไปเที่ยวกับเพื่อน พอกลับมาก็เล่นเยอะขึ้น เริ่มหาบาลานซ์ให้กับตัวเรามากขึ้น เป็นการเล่นโซเชียลมีเดียที่เรากำหนดสไตล์ของเราเอง” 

เป้าหมายที่ตั้งไว้แต่ยังทำไม่สำเร็จ

จอส: “อยากให้คุณพ่อคุณแม่ได้เกษียณครับ อยากย้ายคุณแม่กับคุณแม่มาอยู่ใกล้ๆ กันครับ เพื่อที่เราจะได้ไปหาเค้า คุณพ่อคุณแม่ก็อายุเยอะแล้ว สุขภาพก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนเดิม ตั้งเป้าไว้ว่า 3-5 ปีนี้ อยากจะให้พวกท่านมาอยู่ใกล้ๆ มากขึ้นอาจจะเป็นแถวชานเมือง คงไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ เพราะว่าอากาศมันไม่ค่อยดี แล้วก็ให้พวกท่านใช้ชีวิตไปครับ ไม่ได้ต้องทำงานแล้ว”

กวิน: “ของผมมี 3 อย่างครับ ผมอยาก retire ตัวเอง อันนี้ก็อาจจะเป็นเป้าหมายที่ยังไกลอยู่พอสมควร ให้เป็นเรื่องของอนาคต อย่างต่อมาคืออยากแต่งเพลง อยากทำเพลงออกมาสักเพลงหนึ่ง และแต่งมันให้จบ ช่วงนี้ก็กำลังทำอยู่นะครับ และจะทำไปเรื่อยๆ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่คิดมา 1-2 ปีแล้วว่าอยากแต่งเพลง แต่ก็ยังไม่ได้ทำสักที อย่างสุดท้ายคงเป็นเรื่องการไปจริงจังในการออกกำลังกาย การไปฟิตเนสครับ อยากฟิตหุ่นอีกซักหน่อย ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่ายังไปไม่ถึงที่เราตั้งไว้”

อีก 10 ปีของจอสและกวิน คิดไว้บ้างไหม ว่าจะเป็นอย่างไร

จอส: “ของผมขอเป็น 5 ปีแล้วกันครับ มองไว้ว่าน่าจะได้เลี้ยงหมา เพราะว่าอีก 5 ปีน่าจะอยู่บ้านแทนคอนโด แล้วก็พาคุณพ่อคุณแม่มาอยู่ใกล้ๆ ได้ น่าจะประมาณนี้ครับที่คิดออกตอนนี้ เรื่องการงาน อีกสิ่งที่อยากทำในวงการ คิดว่าอยากทำพอดแคสต์เพราะว่าตอนนี้เรารู้สึกว่าเรายังเด็กอยู่ ไม่ได้มีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตอะไรเยอะ ถ้าอีกสัก 5 ปี เราน่าจะโตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะเป็นโฮสต์ของรายการได้ แล้วเราก็อยากมี บทสนทนากับคนที่น่าสนใจที่เราอยากคุยด้วย โดยที่เราหวังว่าเราเองจะได้ความรู้ รวมถึงคนที่ดูหรือคนฟัง เราด้วย แล้วก็ยังคงเป็นนักแสดงต่อไปครับ” 

กวิน: “ผมในอีก 10 ปี อยากมีบ้านของตัวเองสักหลัง แล้วก็อยากทำสตูดิโอในบ้าน เป็นห้องที่เราทำงาน ตอนนี้ผมยังโฟกัสตัวเองอยู่ แต่คิดว่าในอีก 10 ปี ผมคงมีความคิดอื่นๆ มากยิ่งขึ้น ทั้งเรื่องการงาน เรื่องครอบครัว ให้เป็นเรื่องของอนาคตครับ” 

Photographer: Thanut Treamchanchuchai

Stylist: Natthapon Samakkepilom 

Producer: Chayanon Chongprasert

Assistant Stylist: Pornpan Saetae 

Assistant Photographers: Arnon Boonrod ,Chanon Praphaiwaranon

Related Articles

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Back to top button
pgslot
pg